เม็กซิโกจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 มิ.ย.) ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดด้วยจำนวนผู้ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงมากกว่า 98 ล้านคน อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่สองตัวเต็งผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่างเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ ได้แก่ นางคลอเดีย เชนบาม จากพรรคโมเรนา (MORENA) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลฝ่ายซ้าย และนางโซชิตล์ กัลเวซ จากพรรคกิจแห่งชาติ (National Action Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านสายขวากลาง โดยผลปรากฏว่านางเชนบามเอาชนะคู่แข่งไปแบบถล่มทลายด้วยคะแนนราว 60% ต่อ 28% ขึ้นแท่นว่าที่ประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ 200 ปีของเม็กซิโก
*จากครอบครัวชาวยิวอพยพ สู่ว่าที่ประธานาธิบดี
นางเชนบาม วัย 61 ปี เกิดที่กรุงเม็กซิโกซิตีเมื่อปี พ.ศ. 2505 ในครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาจากลิทัวเนียและบัลแกเรีย ทั้งพ่อและแม่ของเธอต่างเป็นนักวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เธอมีความสนใจในวิทยาศาสตร์ตามไปด้วย โดยเธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ รวมถึงปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมพลังงาน หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอได้ทำงานวิจัยและตีพิมพ์บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับ สำหรับผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเธอคือการทำงานร่วมกับคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ โดยมีส่วนช่วยให้องค์กรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2550
นางเชนบามมีความสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและทำงานด้านนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการฝ่ายสิ่งแวดล้อมของกรุงเม็กซิโกซิตีในปี 2543 ต่อมาในปี 2561 เธอชนะการเลือกตั้งและได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกของกรุงเม็กซิโกซิตี โดยเธอได้รับการยกย่องจากนโยบายการเพิ่มงบประมาณและขึ้นเงินเดือนให้ตำรวจ รวมถึงเพิ่มปริมาณและคุณภาพของตำรวจ และสามารถลดอัตราการฆาตกรรมในเมืองหลวงได้ถึงครึ่งหนึ่ง จาก 17.9 ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2561 สู่ระดับ 8.6 ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2565 ซึ่งตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงเม็กซิโกซิตีถือเป็นบันไดขั้นสำคัญที่ปูทางให้เธอก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีในที่สุด
*ปราบปรามอาชญากรรม
หนึ่งในภารกิจสำคัญของผู้นำคนใหม่คือการปราบปรามอาชญากรรมที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แม้แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ก็ถือเป็นการเลือกตั้งที่นองเลือดที่สุดของประเทศ โดยองค์กรอาชญากรรมได้สังหารผู้สมัครรับเลือกตั้งไปมากกว่า 30 คน รวมถึงทำร้ายผู้สมัครหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งรวมหลายร้อยกรณี เพื่อกำจัดและข่มขู่ผู้ที่จะเข้ามาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง
เม็กซิโกมีอัตราการฆาตกรรมสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยอยู่ที่ราว 30,000 คนต่อปี และยังมีจำนวนผู้สูญหายมากกว่า 100,000 คนในประเทศ นอกจากนั้นยังมีอัตราการฆาตกรรมผู้หญิงที่สูงมาก โดยผู้หญิงประมาณ 10 คนถูกฆาตกรรมทุกวัน ขณะที่การก่ออาชญากรรมมากกว่า 9 ใน 10 ครั้งไม่ได้รับการลงโทษตามกฎหมาย อีกทั้งยังมีอัตราการแจ้งความต่ำเพราะประชาชนไม่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่และขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการสืบสวน
นางเชนบามแสดงความหวังว่าจะลดอัตราการฆาตกรรมทั่วประเทศจาก 23.3 ต่อประชากร 100,000 คน สู่ระดับ 19.4 ต่อประชากร 100,000 คนภายในปี 2570 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ว่าเธอเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการลดอัตราการฆาตกรรมในเมืองหลวง แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเธอจะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาระดับประเทศที่มีสเกลใหญ่กว่ามากหรือไม่
*สานต่อนโยบายสวัสดิการสังคม
ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ผู้เป็นกุนซือทางการเมืองคนสำคัญของนางเชนบาม มีส่วนสำคัญในการทำให้พรรคโมเรนาได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนและชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากเขาวางนโยบายสวัสดิการสังคมที่ช่วยให้ชาวเม็กซิกันผู้ยากไร้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งนางเชนบามก็ให้คำมั่นว่าจะสานต่อนโยบายของปธน.โลเปซ โอบราดอร์ อาทิ นโยบายเงินบำนาญสำหรับผู้สูงอายุทุกคน ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนกว่า 12 ล้านคน และปุ๋ยฟรีสำหรับเกษตรกรรายย่อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นโยบายสวัสดิการสังคมได้ทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของเม็กซิโกพุ่งแตะ 5.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2567 จากระดับ 4.3% ในปี 2566 ดังนั้น นางเชนบามต้องแบกรับภาระงบประมาณขาดดุลจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่อาจต้องแก้ปัญหาด้วยการยกเครื่องการเก็บภาษีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐ แม้ว่านางเชนบามกล่าวว่าไม่มีแผนที่จะขึ้นภาษีก็ตาม
*หวั่นออกนโยบายไม่เอื้อตลาดทุน
ในการกล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะการเลือกตั้ง นางเชนบามให้คำมั่นว่าจะสานต่อนโยบายการเงินของปธน.โลเปซ โอบราดอร์ ตลอดจนรับประกันความเป็นอิสระของธนาคารกลาง คงไว้ซึ่งการแยกอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ยึดมั่นในความถูกต้องตามกฎหมาย และรักษาวินัยทางการเงิน ทว่าบรรดานักลงทุนยังคงกังวลว่าพรรคโมเรนาและพรรคร่วมรัฐบาลอาจครองเสียงข้างมากถึง 2 ใน 3 ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้าม ก่อให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลอาจออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อตลาดทุน ตลอดจนเกิดความวิตกว่าการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจพรรครัฐบาลอาจลดลงด้วย
*จับตาความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
การเลือกตั้งครั้งนี้ของเม็กซิโกจัดขึ้นในปีเดียวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบ 12 ปี และประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโกจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่สหรัฐจะเปิดฉากการเลือกตั้ง จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีชายแดนติดกันเป็นระยะทางมากถึง 3,145 กิโลเมตร
เม็กซิโกเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐในหลายภาคส่วน เช่น การค้า การปราบปรามยาเสพติด ไปจนถึงการอพยพย้ายถิ่นฐาน บรรดาเจ้าหน้าที่จากสหรัฐระบุว่า ปธน.โจ ไบเดน กับปธน.โลเปซ โอบราดอร์ มีความสัมพันธ์ฉันมิตรและเป็นมืออาชีพ และคาดหวังว่าผู้นำคนใหม่ของเม็กซิโกจะสานต่อความสัมพันธ์นี้ ซึ่งนางเชนบามก็กล่าวว่าจะรับประกันความสัมพันธ์ฉันมิตร ความเคารพซึ่งกันและกัน และความเสมอภาค
หากนายไบเดนชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. ความสัมพันธ์ระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้นำคนใหม่ของเม็กซิโกอาจเผชิญปัญหาหนักหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เนื่องจากนายทรัมป์เคยย้ำมาตลอดว่าจะปิดชายแดนทางใต้ไม่ให้คนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และมีแผนเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ นอกจากนั้นจะเดินหน้าสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกให้เสร็จ และยังขู่ว่าจะขึ้นภาษีรถยนต์จีนที่ผลิตในเม็กซิโกเป็น 100% อีกด้วย
ทั้งนี้ เมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเม็กซิโกจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค. โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2567-2573 หลังจากนั้นไม่ว่าเส้นทางการเมืองของเธอจะดำเนินไปอย่างไร เธอก็จะถูกจารึกชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่ทำลายข้อจำกัดทางการเมืองของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่