ในขณะที่วงการคริปโทเคอร์เรนซีกำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์จากการอนุมัติ Bitcoin ETF และราคาบิตคอยน์ที่พุ่งทะลุ 100,000 ดอลลาร์ การตัดสินใจเปิดตัวเหรียญมีม $TRUMP ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ $MELANIA ของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ กลับสร้างความขัดแย้งในวงการ ระหว่างความหวังที่จะให้เขาผลักดันกฎหมายสนับสนุนคริปโทฯ กับความกังวลว่าเหรียญมีมจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือที่อุตสาหกรรมนี้พยายามสร้างมาอย่างยาวนาน
*เหรียญมีมทรัมป์: บททดสอบความน่าเชื่อถือของวงการคริปโทฯ
เหรียญ $TRUMP และ $MELANIA ที่เปิดตัวโดยทรัมป์และเมลาเนียได้สร้างความแตกแยกในวงการคริปโทฯ อย่างรุนแรง ในด้านหนึ่ง เหรียญ $TRUMP ประสบความสำเร็จทางการตลาดอย่างท่วมท้น โดยมีมูลค่าตลาดพุ่งสูงถึงเกือบ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เปิดตัวในคืนวันศุกร์ (17 ม.ค.) ส่วน $MELANIA ก็พุ่งไปถึง 2 พันกว่าล้านดอลลาร์ ก่อนที่ทั้งสองเหรียญจะร่วงหนักในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า การที่ทรัมป์เลือกเปิดตัวเหรียญที่ไม่มีประโยชน์ใช้สอยทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีมูลค่าขึ้นอยู่กับกระแสความนิยมบนอินเทอร์เน็ตเป็นหลักนั้น กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ และชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างชัดเจน เนื่องจากทรัมป์ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการขายเหรียญ ในขณะที่ตัวเขาก็มีบทบาทในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อมูลค่าและการกำกับดูแลตลาดคริปโทฯ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นแม้กระทั่งจากผู้สนับสนุนตัวยงของทรัมป์ เช่น ไรอัน เซลคิส อดีต CEO ของ Messari บริษัทวิจัยด้านคริปโทฯ โดยเฉพาะหลังการเปิดตัวเหรียญ $MELANIA ที่เกิดขึ้นเพียง 48 ชั่วโมงหลังจากเหรียญ $TRUMP โดยเซลคิสถึงกับโพสต์ข้อความเรียกร้องให้ทรัมป์ไล่ที่ปรึกษาที่แนะนำให้เปิดตัวเหรียญดังกล่าวออก โดยระบุว่า
"1. พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่
2. พวกเขาทำให้คุณเสียทั้งเงินและความเชื่อมั่นไปมากมาย
3. พวกเขาไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของคุณเลย"
*หวั่นเหรียญมีมทรัมป์รอวัน "Rug Pull"
ในขณะที่ทรัมป์ถูกคาดหวังให้เป็นผู้สร้างความน่าเชื่อถือให้วงการคริปโทฯ โครงสร้างของเหรียญมีมทั้งสองกลับสร้างความกังวลว่าอาจเสี่ยงต่อการ "Rug pull" เนื่องจาก 80% ของซัพพลายโทเค็น $TRUMP ถูกถือครองโดย Fight Fight Fight และ CIC Digital ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Trump Organization นั่นหมายความว่า ผู้ถือเหรียญรายใหญ่อาจเทขายเหรียญ ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรง และนักลงทุนรายย่อยจะได้รับความเสียหาย
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกำหนดและเงื่อนไขของทั้ง $TRUMP และ $MELANIA ยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่น่ากังวล โดยห้ามไม่ให้ผู้ซื้อฟ้องร้องดำเนินคดีแบบกลุ่ม และได้รับการคุ้มครองจากการเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากผู้ซื้อ ลักษณะเช่นนี้ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความพยายามของอุตสาหกรรมที่ต้องการสร้างมาตรฐานและการกำกับดูแลที่โปร่งใส
*วอลล์สตรีทมองข้ามเหรียญมีม จับตานโยบายคริปโทฯ ระยะยาว
ที่น่าสนใจคือ ในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในสัปดาห์นี้ เหล่าผู้บริหารสถาบันการเงินเลือกที่จะแยกแยะระหว่างเหรียญมีมทรัมป์กับบทบาทด้านนโยบายของทรัมป์อย่างชัดเจน แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านความน่าเชื่อถือจากเหรียญมีม แต่พวกเขายังคงมองเห็นโอกาสจากนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ ที่ทรัมป์สัญญาไว้
เจนนี จอห์นสัน ซีอีโอของ Franklin Templeton Investments สะท้อนมุมมองนี้ โดยกล่าวว่า "สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลทรัมป์คือ เราจะเริ่มเห็นการหลอมรวมกันมากขึ้นระหว่าง TradFi (การเงินแบบดั้งเดิม) และคริปโทฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมต้องการ" ขณะที่รอน โอแฮนลีย์ ซีอีโอของ State Street Corp. เน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญคือการออกกฎหมายให้ธนาคารต่าง ๆ สามารถเข้ามาดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ผู้บริหารบางคนในดาวอส เช่น โรเบิร์ต สวาค ซีอีโอของ ABN Amro Bank NV พยายามหลีกเลี่ยงการโต้เถียงเกี่ยวกับเหรียญมีมของทรัมป์ เมื่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กสอบถามเกี่ยวกับเหรียญมีมของทรัมป์ สวาคกล่าวว่า "ก่อนที่ธนาคารจะเปิดให้ลูกค้าจำนวนมากเข้าถึงสกุลเงินทางเลือกได้ ก็ต้องมั่นใจว่ามันเป็นมาตรการหรือสกุลเงินที่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย และสำหรับผม นั่นหมายความว่าตลาดจะต้องมีความพร้อมและเติบโตเต็มที่กว่านี้เสียก่อน"
เมื่อถูกถามต่อว่าเขาคิดว่าการเปิดตัวโทเค็นของทรัมป์นั้นจะเป็นที่ยอมรับและมีความพร้อมเมื่อใด สวาคตอบเลี่ยง ๆ ว่า "ผมคิดว่านั่นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อไป" ซึ่งเป็นการบอกโดยอ้อมว่า เหรียญมีมยังไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะให้ธนาคารขนาดใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง
*จากวิกฤต FTX สู่การฟื้นฟูความเชื่อมั่น
ก่อนที่จะเกิดประเด็นเหรียญมีมทรัมป์ อุตสาหกรรมคริปโทฯ ได้ทุ่มเทอย่างหนักในการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือหลังวิกฤต FTX เมื่อปี 2565 โดยใช้กลยุทธ์สองทางควบคู่กัน คือการผลักดันกฎระเบียบที่ชัดเจน และการสร้างพันธมิตรทางการเมือง ด้วยการบริจาคเงินกว่า 170 ล้านดอลลาร์ให้กับกลุ่ม Super PAC เพื่อสนับสนุนนักการเมืองที่เป็นมิตรกับคริปโทฯ
ความพยายามนี้เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมผ่านสองพัฒนาการสำคัญ ประการแรกคือ การมีกฎระเบียบที่ครอบคลุมอย่างกฎหมาย Markets in Cryptoassets (MiCA) ของสหภาพยุโรป ที่ช่วยให้สถาบันการเงินเห็นกรอบการทำงานที่ชัดเจน ประการที่สองคือ การที่ทรัมป์แสดงจุดยืนสนับสนุนอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน พร้อมสัญญาว่าจะผ่อนคลายกฎระเบียบ จนนำไปสู่การระดมทุนอีกกว่า 135 ล้านดอลลาร์เพื่อมาสนับสนุนนักการเมืองที่เป็นมิตรกับคริปโทฯ
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวเหรียญมีมของทรัมป์ได้สร้างคำถามต่อความพยายามเหล่านี้ โดยเฉพาะในแง่ของการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับอุตสาหกรรมที่ต้องการให้เห็นว่า คริปโทฯ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเก็งกำไรระยะสั้น แต่เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ
*การแต่งตั้งทีมหนุนคริปโทฯ ปะทะความขัดแย้งจากเหรียญมีม
หลังจากชนะการเลือกตั้ง ทรัมป์แสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโทฯ ด้วยการเลือกผู้สนับสนุนคริปโทฯ ในตำแหน่งสำคัญ ๆ รวมถึงโฮเวิร์ด ลัทนิค ซีอีโอของ Cantor Fitzgerald LP เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครอบครัวทรัมป์เข้ามาเกี่ยวข้องกับคริปโทฯ โดยในปีที่แล้ว ทรัมป์เองได้ร่วมเปิดตัวโครงการ DeFi กับบุตรชายทั้งสองคือ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ และอีริค ทรัมป์ ในชื่อ World Liberty Financial
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวเหรียญมีมกลับสร้างอุปสรรคทางการเมืองที่อาจบั่นทอนวิสัยทัศน์ "ทรัมป์ ผู้กอบกู้คริปโทฯ" จาเร็ต ไซเบิร์ก นักวิเคราะห์จาก TD Cowen เตือนว่า เหรียญมีมจะกระตุ้นให้พรรคเดโมแครตตรวจสอบอย่างเข้มงวด และขัดขวางความพยายามในการผ่านกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล
"พวกเขาจะค้นหาสัญญาณที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลต่างประเทศ ธุรกิจต่างประเทศ และบริษัทในประเทศกำลังใช้เหรียญเพื่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของทรัมป์" ไซเบิร์กเขียนในบันทึกถึงลูกค้า "พวกเขายังจะเรียกร้องรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการที่ครอบครัวทรัมป์สร้างรายได้จากการลงทุนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าพรรครีพับลิกันคาดว่าจะตอบโต้ และอาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างพรรคแย่ลง"
นี่สะท้อนให้เห็นว่าแม้ทรัมป์จะวางตัวผู้สนับสนุนคริปโทฯ ที่แข็งแกร่ง แต่การตัดสินใจเรื่องเหรียญมีมอาจกลับมาบั่นทอนเป้าหมายระยะยาวของเขาเอง
*ETF เหรียญมีม กับยุคแดนเถื่อนของตลาดคริปโทฯ
ล่าสุดเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) การยื่นขออนุมัติ ETF ที่อ้างอิงกับเหรียญมีมและคริปโทฯ อื่น ๆ จาก REX Advisers, Osprey Funds และ ProShares สะท้อนความขัดแย้งในอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ในขณะที่วงการพยายามสร้างความน่าเชื่อถือผ่าน Bitcoin ETF ที่เพิ่งได้รับอนุมัติ การเกิดขึ้นของเหรียญมีมทรัมป์กลับผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เอกสารที่ยื่นต่อ SEC ระบุความเสี่ยงของการลงทุนในโทเค็นเกิดใหม่อย่าง $TRUMP อย่างตรงไปตรงมาว่าเป็น "นวัตกรรมที่ค่อนข้างใหม่และมีความเสี่ยงเฉพาะตัวที่สูงมาก" และ "ตลาดสำหรับ TRUMP อาจมีความผันผวนด้านราคาอย่างรุนแรง"
"ตอนนี้มันเหมือนกับยุคแดนเถื่อนตะวันตก" ท็อดด์ ซอน นักกลยุทธ์ ETF ของ Strategas กล่าว "เป็นโลกที่พร้อมจะปล่อยผลิตภัณฑ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ออกมามากมาย และทุกคนก็พร้อมจะรอดูว่าอะไรจะรุ่ง เพราะมันเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมาก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่กองทุนที่จะได้รับอนุมัติ บางกองทุนผมว่ามันก็ค่อนข้างจะเพี้ยน ๆ อยู่"
*บิตคอยน์กับความคาดหวังต่อทรัมป์
ความผันผวนของราคาบิตคอยน์เป็นเครื่องชี้วัดที่ชัดเจนถึงความขัดแย้งในบทบาทของทรัมป์ต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ ในขณะที่ราคาพุ่งทะลุ 109,000 ดอลลาร์ในช่วงก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) สะท้อนความคาดหวังต่อนโยบายสนับสนุนคริปโทฯ แต่ราคากลับร่วงลงอย่างรุนแรงหลังจากที่การสนับสนุนคริปโทฯ ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในคำสั่งของฝ่ายบริหารชุดแรก และถูกบดบังด้วยประเด็นเหรียญมีม
ความผันผวนนี้สะท้อนความกังวลของตลาดต่อลำดับความสำคัญในนโยบายของทรัมป์ ระหว่างการผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวกับการใช้กระแสคริปโทฯ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวผ่านเหรียญมีม อย่างไรก็ตาม หลายคนยังเชื่อว่าในระยะยาว การสนับสนุนของทรัมป์จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะในแง่ของการผ่อนคลายกฎระเบียบ หากทรัมป์สามารถรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมได้
*บทสรุป: จุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโทฯ
การเปิดตัวเหรียญมีมของทรัมป์สร้างความขัดแย้งครั้งสำคัญในวงการคริปโทฯ ในขณะที่อุตสาหกรรมเพิ่งประสบความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์จากการอนุมัติ Bitcoin ETF และการพัฒนากรอบกฎหมายที่ชัดเจนในหลายประเทศ การที่ทรัมป์ ผู้ที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้สนับสนุนหลัก กลับเลือกที่จะเปิดตัวเหรียญที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้น ได้สั่นคลอนความน่าเชื่อถือที่วงการพยายามสร้างมาอย่างยาวนาน
ปฏิกิริยาที่แตกต่างกันของผู้เล่นในตลาดสะท้อนความท้าทายนี้ได้อย่างชัดเจน วอลล์สตรีทพยายามแยกแยะระหว่างเหรียญมีมกับนโยบายสนับสนุนระยะยาว ผู้ออก ETF ต้องสร้างสมดุลระหว่างโอกาสทางธุรกิจกับการรักษามาตรฐาน ในขณะที่ฝ่ายค้านใช้ประเด็นนี้ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการกำกับดูแลและความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ความสำเร็จหรือล้มเหลวของเหรียญมีมทรัมป์จะเป็นบททดสอบสำคัญว่า อุตสาหกรรมคริปโทฯ จะสามารถรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมทางการเงินกับความน่าเชื่อถือได้อย่างไร โดยเฉพาะภายใต้การนำของผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและมีผลประโยชน์ทับซ้อนในเวลาเดียวกัน