ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ถูกปกคลุมด้วย PM2.5 ส่งผลให้รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ปัญหาเร่งด่วนระยะสั้น ทั้งการสนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และการยกเว้นค่ารถไฟฟ้า-ค่ารถเมล์ เป็นเวลา 7 วัน เพื่อลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์
อย่างไรก็ตาม PM2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ไอเสียรถยนต์จากการจราจรในเมืองเท่านั้น แต่ยังมีควันจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้ในภาคเกษตรกรรม ตลอดจนมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 จึงไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนชื่อ แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและทุกระดับ รวมไปถึงระดับภูมิภาคเลยทีเดียว
*ผลกระทบรอบด้าน จากสุขภาพถึงเศรษฐกิจ
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า PM2.5 ส่งผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต เนื่องจาก PM2.5 คืออนุภาคฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมากพอจะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอดอีกด้วย
จากรายงานของ Health Effects Institute (HEI) พบว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ใน 23 ประเทศเอเชียกลาง เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงอินเดีย ปากีสถาน คาซัคสถาน ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยผลการศึกษาพบว่า ในปี 2564 มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศมากกว่า 3.4 ล้านคน คิดเป็น 40% ของผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียใต้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด มีผู้เสียชีวิต 2.7 ล้านราย และ 2.1 ล้านรายอยู่ในอินเดีย ขณะที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้เสียชีวิต 630,000 ราย โดยมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงการเสียชีวิตอันดับ 1 ในกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา
นอกจากทำลายสุขภาพแล้ว ผลกระทบจาก PM2.5 ยังพ่นพิษทำร้ายเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศในภูมิภาคเหล่านี้สูญเสีย GDP ราว 4-11% ในปี 2562
สำหรับประเทศไทยซึ่งเผชิญสถานการณ์ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องติดต่อกันในช่วงกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาสโดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ทั้งในแง่ของการรักษาอาการเจ็บป่วย และการดูแลป้องกันสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น รวมถึงผลกระทบที่เกิดในพื้นที่อื่นๆ ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
*ฝุ่นพิษกับเด็ก
ยูนิเซฟแสดงความกังวลต่อระดับค่าฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็กประมาณ 13.6 ล้านคนทั่วประเทศ จากรายงาน Over the Tipping Point report ในปี 2566 พบว่า จำนวนเด็กในประเทศไทยที่เผชิญความเสี่ยงสูงจาก PM2.5 มีมากกว่าจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง
ยูนิเซฟระบุว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษ เนื่องจากหายใจเร็วกว่าและรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่ตามสัดส่วนน้ำหนักตัว อีกทั้งมักหายใจผ่านปาก ทำให้รับสารมลพิษมากขึ้น ผลกระทบมีตั้งแต่ในครรภ์มารดา เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง
จากรายงานสภาวะอากาศโลก ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และยูนิเซฟ ชี้ว่า ในปี 2564 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือวันละเกือบ 2,000 คน เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ทำให้มลพิษทางอากาศกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตในเด็กกลุ่มนี้ รองจากภาวะทุพโภชนาการ
สอดคล้องกับมูลนิธิ เซฟ เดอะ ชิลเดรน ที่แสดงความเป็นห่วงว่า การที่กรุงเทพฯ มีคุณภาพอากาศแย่ติดอันดับโลกนั้น จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งมลพิษทางอากาศยังส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ เพราะเด็กอาจต้องขาดเรียนจากการปิดโรงเรียนและอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับมลพิษ
*รวมพลังสู่ฝุ่น
ด้วยผลกระทบที่รุนแรงของ PM2.5 จึงมีความพยายามหาทางแก้ปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ตัวอย่างเช่นในกรอบอาเซียน มีความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution: AATHP) ซึ่งลงนามตั้งแต่ปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนในการดำเนินมาตรการป้องกัน ติดตามตรววจสอบ และควบคุมการเกิดไฟป่าและการเผาในที่โล่ง ตลอดจนเพิ่มช่องทางในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากเกิดวิกฤตมลพิษหมอกควันข้ามแดน หรือเกิดการลุกลามของไฟจนเกินความสามารถในการควบคุมของประเทศใดประเทศหนึ่ง
นอกจากนี้ เมื่อเดือนต.ค. ปีที่แล้ว ประเทศไทยได้ยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านโดยจับมือกับ สปป.ลาว และเมียนมา เปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) สำหรับปี พ.ศ. 2567 - 2573 แผนนี้มุ่งยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ฝุ่นละออง และหมอกควันข้ามแดน โดยบูรณาการความร่วมมือทั้งระดับหน่วยงานรัฐ ประชาชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นภูมิภาคอาเซียนที่ปลอดหมอกควันภายในปี 2573
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เผชิญปัญหาฝุ่นหมอกควัน อันเป็นผลพวงมาจากการเผาป่าในอินโดนีเซียเพื่อการเกษตรเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ประชาชนในสิงคโปร์ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์เดินหน้าจัดการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการออกกฎหมาย Transboundary Haze Pollution Act ในปี 2557 ที่มีบทลงโทษรุนแรงสำหรับบริษัทที่ก่อให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน โดยกำหนดค่าปรับสูงสุดถึง 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 50 ล้านบาท) กฎหมายนี้ไม่เพียงมีผลใช้บังคับในสิงคโปร์ แต่ยังครอบคลุมถึงบริษัทต่างชาติที่ก่อมลพิษส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์ด้วย
สำหรับภาพรวมของ 23 ประเทศในเอเชีย (ไม่รวมเอเชียตะวันออกและตะวันตก) หลายประเทศได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และการลดมลพิษทางอากาศในครัวเรือน เช่น อินเดียได้ริเริ่มโครงการ Ujjwala ที่สนับสนุนแก๊สหุงต้มฟรีหรือราคาถูกให้กับครัวเรือนยากจนเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษ ตลอดจนความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างแผนริเริ่มทิมพู ซึ่งมุ่งแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนระหว่างอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล และภูฏาน
การแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผลในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ทั้งภายในท้องถิ่นและระหว่างประเทศ เพื่อบังเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของประเทศ ภูมิภาค และของโลกใบนี้