ทั่วโลกมุ่งความสนใจในสัปดาห์นี้ไปที่การประชุม "สองสภา" (Two Sessions) ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของสภานิติบัญญัติสูงสุดและคณะกรรมการที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุดของจีน ซึ่งการประชุมสองสภานี้จะเป็นเวทีสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายจะได้รับฟังเสียงของประชาชนจีน ขณะเดียวกันก็จะมีการหารือกันเกี่ยวกับลำดับความสำคัญในการพัฒนาประเทศจีน
In Focus สัปดาห์นี้ ขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุม "สองสภา" ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของจีน ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทั้งภายในประเทศจีนและต่างประเทศที่มีความซับซ้อนและท้าทายขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน
*ประชุม "สองสภา" - ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด
การประชุมสองสภา (Two Sessions) คือการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติ (National People's Congress - NPC) ซึ่งเป็นองค์กรนิติบัญญัติของจีน และการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (Chinese People's Political Consultative Conference - CPPCC) ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาทางการเมืองสูงสุด
การประชุมนี้มีผู้แทนหลายพันคนมารวมตัวกันที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประชุมประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับการประชุม CPPCC ในปีนี้ได้เปิดฉากขึ้นแล้วในวันอังคาร (4 มี.ค.) และการประชุม NPC เริ่มต้นขึ้นในวันพุธ (5 มี.ค.) และมีกำหนดปิดฉากการประชุมในวันที่ 11 มี.ค. 2568
ในวันแรกของการประชุม NPC นายกรัฐมนตรีจีนจะเปิดเผยรายงานการทำงานของรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกสารที่จะระบุถึงนโยบายที่สำคัญสำหรับปีนี้ และจะประกาศเป้าหมายหลัก ๆ เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และการขาดดุลงบประมาณ
บรรดาผู้แทนจะหารือกันเกี่ยวกับรายงานผลการทำงาน ร่างกฎหมาย และเอกสารอื่น ๆ ก่อนลงมติรับรอง ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นพรรครัฐบาลมีอำนาจควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ
*วาระสำคัญของการประชุมสองสภา
เมื่อเดือนธ.ค. 2567 ที่ประชุมการทำงานด้านเศรษฐกิจกลาง (Central Economic Work Conference) ของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งกำหนดทิศทางสำหรับการประชุมสองสภานั้น ได้กำหนดให้การส่งเสริมด้านการบริโภคเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกในปีนี้ และคำถามในตอนนี้ก็คือ จีนจะวางแผนอย่างไรในการบรรลุเป้าหมายนี้
เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลจีนเริ่มออกนโยบายบางประการเพื่อรับมือกับความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการจ้างงานที่อ่อนแอและความมั่งคั่งของภาคครัวเรือนที่ลดลง เช่น การให้เงินอุดหนุนในการซื้อรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมาตรการจูงใจเพื่อให้กับสถาบันการเงินซื้อหุ้นของจีน บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตของประเทศที่ประมาณ 5% แต่ยังคงต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงความเชื่อมั่นของประชาชน
ในบรรดาร่างกฎหมายที่อาจมีการอภิปรายใน NPC คือกฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจภาคเอกชน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติที่เท่าเทียมและการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับภาคเอกชน โดยเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พบปะกับเหล่าคนดังในแวดวงธุรกิจจีน หลังจากที่การเปิดตัวระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ของบริษัทดีปซีค (DeepSeek) ได้ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกไปที่ความสามารถทางเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตของจีน โดยสี จิ้นผิงได้บอกกับกลุ่มผู้บริหารธุรกิจ ซึ่งรวมถึง แจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง เกี่ยวกับความหวังของเขาที่ว่า "ผู้ที่ร่ำรวยจะช่วยส่งเสริมความมั่งคั่งร่วมกัน"
วาระสำคัญอื่น ๆ ที่น่าติดตามได้แก่ การใช้จ่ายด้านการทหารและรายละเอียดเกี่ยวกับทิศทางนโยบายต่างประเทศของจีนจาก หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน
นอกจากนี้ บรรดาผู้สังเกตการณ์ยังคาดหวังที่จะได้ฟังความคิดเห็นจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
*จับตาอิทธิพลของ "ทรัมป์" ต่อการประชุมสองสภา
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค. โดยเป็นการเพิ่มภาษีขึ้นอีกจากเดิม 10% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ทำให้จีนต้องตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากกลุ่มสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการเก็บภาษีสินค้าอื่น ๆ อยู่แล้ว
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้เสนอแผนการเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือจากเรือที่สร้างในจีน และกำลังทบทวนว่า จีนได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่เคยลงนามไว้ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยแรกหรือไม่ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ก็กำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า สงครามการค้าจะทวีความรุนแรงรวดเร็วเพียงใด
สตีเฟน โอลสัน นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันการศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งสิงคโปร์ (Yusof Ishak Institute) และอดีตผู้เจรจาการค้าของสหรัฐฯ กล่าวหลังจากการประกาศภาษีล่าสุดของทรัมป์ว่า "ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มชัดเจนแล้ว และสงครามการค้าที่สำคัญที่สุดในรอบเกือบ 100 ปีอาจกำลังเริ่มต้นขึ้น เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นไปได้เสมอสำหรับทรัมป์"
โอลสันกล่าวว่า แม้จีนอาจรับมือกับการเก็บภาษี 10% ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ได้ แต่การเพิ่มภาษีขึ้นเป็นสองเท่า "จะเป็นปัญหามากขึ้น" และอาจทำให้จีนตอบโต้อย่างรุนแรง
โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีน รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเมื่อวันจันทร์ (3 มี.ค.) ว่า เจ้าหน้าที่จีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ ซึ่งอาจรวมทั้งภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี โดยสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ น่าจะถูกบรรจุอยู่ในมาตรการตอบโต้ด้วย
ความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของจีน และเพิ่มความเร่งด่วนให้รัฐบาลต้องกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น แต่นักวิเคราะห์บางคนคาดว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนจะรอจนกว่าความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จะชัดเจนขึ้นก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม
หวัง เต้า หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของยูบีเอส คาดการณ์ว่า จีนจะดำเนินนโยบายเพิ่มเติมอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกเหนือจากมาตรการจาก NPC ตลอดทั้งปีนี้ หากเกิดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศที่รุนแรงขึ้น
*นักลงทุนคาดหวังอะไรจากการประชุมสองสภา
โรบิน ซิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าจีนจะรักษาเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไว้ที่ประมาณ 5% เหมือนกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยคำนวณจากเป้าหมายการเติบโตที่กำหนดโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเป้าหมาย GDP เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของแต่ละมณฑลในปีนี้อยู่ที่ 5.3% ซึ่งต่ำกว่าปี 2567 เพียง 0.1%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า จีนจะต้องเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตในระดับเดียวกัน เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
มิเชลล์ แลม นักเศรษฐศาสตร์ในภูมิภาคจีนของโซซิเอเต้ เจเนเรล กล่าวว่า การเติบโต 5% "จริง ๆ แล้วเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย"
นักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่า รัฐบาลจะปรับลดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อจากราคาผู้บริโภคลงมาอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งถือเป็นการยอมรับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่เป้าหมายดังกล่าวถูกกำหนดไว้ที่ประมาณ 3% มานานหลายปี
ทั้งนี้ ตามรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลจีนที่ยื่นต่อ NPC เพื่อพิจารณาในวันนี้ (5 มี.ค.) นั้น ได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไว้ที่ประมาณ 5% สำหรับปี 2568
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุถึงเป้าหมายสำคัญอื่น ๆ สำหรับปีนี้ เช่น อัตราการว่างงานในเขตเมืองที่ประมาณ 5.5% การจ้างงานใหม่ในเขตเมืองมากกว่า 12 ล้านตำแหน่ง และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2%
*มาตรการที่วางแผนไว้จะสามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้หรือไม่
นักวิเคราะห์กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอาจช่วยให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ได้ โดยดันแคน ริกลีย์ จากแพนธีออน กล่าวว่า การขยายโครงการเงินช่วยเหลือผู้บริโภคอาจเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.8% แต่หากขอบเขตของโครงการยังคงเหมือนเดิม ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจก็จะค่อย ๆ ลดลง เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ซื้อรถใหม่ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสมาร์ตโฟน จะไม่ซื้อซ้ำในปีถัดไป
รัฐบาลจีนอาจเพิ่มการจ่ายเงินบำนาญหรือประกันสุขภาพ ในขณะที่ธนาคารกลางจีนก็ให้คำมั่นที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กล่าวว่า มาตรการที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว เช่น ประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว หนี้สินที่เพิ่มขึ้น และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะมาทดแทนงานที่หายไปจากภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตช้าลงในปีถัดไป
ทั้งนี้ เมื่อการประชุมสองสภาปิดฉากลง บรรดาผู้สังเกตการณ์จะมุ่งความสนใจไปที่การดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีน รวมถึงวิธีการที่จีนจะรับมือกับโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์กำลังจัดทำร่างแผนงานระยะ 5 ปี (2569-2573) ฉบับที่ 15 ซึ่งจะระบุถึงเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของจีน