มาร์ค คาร์นีย์ นายธนาคารมากประสบการณ์ ก้าวขึ้นมาเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา หลังคว้าชัยในการเลือกหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายถึง 131,674 คะแนน หรือคิดเป็น 85.9% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างอดีตรองนายกรัฐมนตรี คริสเตีย ฟรีแลนด์ ซึ่งได้รับเพียง 11,134 คะแนน หรือ 8% เท่านั้น
ตามรายงานของสื่อแคนาดา คาดว่าคาร์นีย์จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ พร้อมรับไม้ต่อภารกิจสำคัญจาก จัสติน ทรูโด นั่นคือการรับมือกับนโยบายการค้าและภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจของประเทศ และเขย่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด
เมื่ออดีตนายธนาคารจอมเก๋าวัย 59 ปี ต้องมาปะทะกับอดีตนักธุรกิจใหญ่วัย 78 ปี บนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ทั่วโลกจึงต่างจับตามอง (และแอบเอาใจเชียร์) ว่า "มือใหม่" ในสังเวียนการเมือง จะสามารถสู้รบปรบมือกับ "จอมป่วน" ผู้เจนสนามได้หรือไม่
มาร์ค คาร์นีย์ เกิดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1965 ที่ฟอร์ตสมิธ เมืองทางเหนืออันห่างไกลในดินแดนนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ของแคนาดา ก่อนที่จะย้ายตามบิดาและมารดาซึ่งเป็นครูทั้งคู่ไปยังเมืองเอดมันตัน รัฐอัลเบอร์ตา ที่ซึ่งเขาเติบโตขึ้น และเช่นเดียวกับเด็กชายชาวแคนาดาส่วนใหญ่ เขาเล่นฮอกกี้น้ำแข็ง ในตำแหน่งผู้รักษาประตู
คาร์นีย์ได้ทุนไปศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและเอกสาขาเศรษฐศาสตร์เช่นกัน จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
สำหรับชีวิตส่วนตัว ภรรยาของเขา ไดอานา เป็นชาวอังกฤษ และทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกัน 4 คน
คาร์นีย์ถือสามสัญชาติ ได้แก่ แคนาดา อังกฤษ และไอริช แต่ในที่สุด แม้ว่ากฎหมายไม่ได้บังคับ เขาได้ตัดสินใจที่จะสละสัญชาติอื่น และถือสัญชาติแคนาดาเพียงสัญชาติเดียว ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ชาญฉลาด
มาร์ค คาร์นีย์ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองแคนาดา ด้วยการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปราศจากประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ซึ่งแตกต่างจากนายกรัฐมนตรีคนก่อน ๆ
เส้นทางชีวิตของเขาโดดเด่นด้วยความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พรรคเสรีนิยมมองว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดในช่วงเวลาที่แคนาดากำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา หรือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
"ผมไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ แต่ผมรู้จักเศรษฐกิจดี และผมรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชาวแคนาดา" คาร์นีย์เคยกล่าวไว้ระหว่างการรณรงค์หาเสียง และกล่าวในอีกโอกาสหนึ่งว่า "ผมรู้วิธีจัดการวิกฤต" ระหว่างการอภิปรายความเป็นผู้นำเมื่อปลายเดือนที่แล้ว "ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณต้องมีประสบการณ์ในแง่ของการจัดการวิกฤต คุณต้องมีทักษะในการเจรจา"
คาร์นีย์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากบทบาทสำคัญในการช่วยให้แคนาดารอดพ้นจากวิกฤตการเงินในปี 2551 ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดาไม่นานก่อนที่ตลาดการเงินทั่วโลกจะล่มสลาย ทำให้แคนาดาเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ผลงานอันโดดเด่นนี้ทำให้เขาได้รับการทาบทามให้เป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งอังกฤษนับตั้งแต่ก่อตั้งมากว่า 300 ปี
ก่อนหน้านั้น เขาสั่งสมประสบการณ์ในวงการการเงินผ่านการทำงานที่โกลด์แมน แซคส์ ยาวนาน 13 ปี ในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก ทั้งลอนดอน โตเกียว นิวยอร์ก และโทรอนโต ก่อนลาออกจากภาคเอกชนมาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดาในปี 2546 ตามด้วยตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังอาวุโส
คาร์นีย์ขึ้นดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาที่แคนาดากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านการค้า เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 250% สำหรับผลิตภัณฑ์นมอเมริกันที่ส่งไปแคนาดา นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสงครามการค้าที่ทรัมป์เริ่มต้นกับแคนาดานับตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แต่ดูเหมือนคาร์นีย์จะไม่หวั่นเกรง โดยในสุนทรพจน์แรกหลังจากได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เขากล่าวถึงทรัมป์ว่า
"มีคนพยายามทำให้เศรษฐกิจของเราอ่อนแอลง นั่นคือโดนัลด์ ทรัมป์ เขากำลังโจมตีครอบครัว แรงงาน และธุรกิจของแคนาดา และเราไม่สามารถปล่อยให้เขาทำสำเร็จ" คาร์นีย์กล่าว "รัฐบาลของผมจะคงภาษีของเราไว้จนกว่าชาวอเมริกันจะแสดงความเคารพต่อเรา"
เรื่องที่ทำให้ชาวแคนาดาเป็นเดือดเป็นแค้นมากที่สุด คือ การที่ทรัมป์แสดงความต้องการที่จะผนวกแคนาดาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยขู่จะใช้ "กำลังทางเศรษฐกิจ" เพื่อกดดันให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ การกระทำดังกล่าวจุดกระแสความโกรธแค้นในหมู่ชาวแคนาดา นำไปสู่การคว่ำบาตรสินค้าอเมริกันและเรียกร้องให้รัฐบาลแสวงหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ๆ
คาร์นีย์ตอบโต้ทรัมป์อย่างแข็งกร้าวในเรื่องนี้ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะของเขาว่า
"อเมริกาไม่ใช่แคนาดา และแคนาดาจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม" เขากล่าวว่า "เราไม่ใช่คนเปิดศึก แต่ชาวแคนาดาพร้อมสู้เสมอเมื่อมีใครมาหาเรื่อง อเมริกันอย่าเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเรื่องการค้า หรือฮอกกี้ แคนาดาจะเป็นผู้ชนะ"
พร้อมกันนี้ คาร์นีย์ยังประกาศว่าจะคงมาตรการภาษีตอบโต้ต่อสินค้าอเมริกันต่อไปจนกว่า "อเมริกันจะแสดงความเคารพต่อเรา และให้คำมั่นที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการค้าที่เสรีและเป็นธรรม" โดยรายได้ทั้งหมดจากภาษีดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อปกป้องแรงงานชาวแคนาดา
ก่อนหน้าที่จะขึ้นมาเป็นว่าที่นายกฯ คาร์นีย์เคยออกมาวิจารณ์ทรัมป์หลายครั้งผ่านทางแพลตฟอร์ม X และพูดถึงความตั้งใจของเขาในการรับมือกับประธานาธิบดีหลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง โดยเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศแคนาดา
"ประธานาธิบดีทรัมป์คิดว่าจะเอาเปรียบเราได้ง่าย ๆ" คาร์นีย์โพสต์เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ "เขาไม่รู้จักคนแคนาดา เราจะยืนหยัดเพื่อประเทศของเรา เราจะยืนหยัดร่วมกัน เราจะแข็งแกร่งขึ้นไปพร้อมกัน"
เขายังตำหนิความชื่นชอบของทรัมป์ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อประกาศนโยบาย โดยโพสต์เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ว่า "ชาวแคนาดาไม่ต้องการมานั่งเช็กโซเชียลมีเดียทุกเช้าเพื่อดูว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะทำอะไรกับเศรษฐกิจของเรา นี่คือแคนาดา และเราจะเป็นผู้ตัดสินอนาคตของเราเอง"
ที่น่าสนใจคือ ครั้งหนึ่งคาร์นีย์เคยเปรียบเทียบทรัมป์กับ "โวลเดอมอร์" ตัวร้ายจากวรรณกรรมสุดโด่งดัง แฮร์รี พอตเตอร์ เมื่อทรัมป์พูดว่าจะทำให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ โดยเขากล่าวว่า ความเห็นของทรัมป์เป็นเรื่องไร้สาระ แสดงการดูถูกเหยียดหยาม และ "ผมมองว่านี่เป็นความเห็นแบบโวลเดอมอร์" คาร์นีย์กล่าว
มาร์ค คาร์นีย์ จะรับไม้ต่อจากนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด และรับมือกับการเจรจาการค้าและภาษีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างน้อยจนกว่าแคนาดาจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้
ทั้งนี้ ตามกฎหมาย แคนาดาจะต้องจัดการเลือกตั้งภายในเดือนตุลาคมนี้ แต่เนื่องจากสถานะที่น่าเป็นห่วงของพรรคเสรีนิยมในรัฐสภา ซึ่งมีที่นั่งน้อยกว่า 50% ในสภาผู้แทนราษฎร จึงมีการคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งอาจจะมาถึงเร็วกว่านั้น
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนโอกาสที่คาร์นีย์จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นานดูจะสดใสขึ้น โดยในการสำรวจความคิดเห็นเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม พรรคเสรีนิยมตามหลังพรรคอนุรักษนิยมซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ด้วยคะแนน 20% ต่อ 47% แต่ในการสำรวจล่าสุดสัปดาห์นี้ พรรคเสรีนิยมได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาเป็น 34% ขณะที่พรรคอนุรักษนิยมลดลงมาอยู่ที่ 37% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีโอกาสมากขึ้นที่คาร์นีย์จะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ต่อไปอีกยาว ๆ
คาร์นีย์เองก็รู้ดีว่าเขากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ในตอนท้ายของสุนทรพจน์รับชัยชนะหัวหน้าพรรคเสรีนิยม เขากล่าวอย่างจริงจังว่า
"ผมรู้ว่านี่เป็นวันมืดมน วันมืดมนที่เกิดจากประเทศที่เราไม่สามารถไว้วางใจได้อีกต่อไป เรากำลังก้าวข้ามความช็อก แต่เราอย่าลืมบทเรียนนี้ เราต้องดูแลตัวเองและเราต้องดูแลซึ่งกันและกัน เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันในวันข้างหน้าที่ยากลำบาก"
ความท้าทายรออยู่เบื้องหน้า แต่ด้วยภูมิหลังอันแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การศึกษาที่ดีเยี่ยม และความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาวแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ อาจเป็นคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม ที่จะนำพาแคนาดาฝ่าวิกฤตความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านมหาอำนาจที่กำลังเผชิญอยู่