In Focus"สีจิ้นผิง" เยือน 3 ประเทศอาเซียน ชูมิตรภาพแน่นแฟ้นท่ามกลางสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ

ข่าวต่างประเทศ Thursday April 17, 2025 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นกับสหรัฐประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเดินทางเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-18 เมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนในปีนี้

แม้ทางการจีนยืนยันว่าการเยือนครั้งนี้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่จังหวะเวลาที่เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศระงับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันสำหรับหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา แต่กลับเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนสูงถึง 145% ทำให้หลายฝ่ายมองว่าการเดินทางเยือนสามชาติอาเซียนครั้งนี้เป็นการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ต่อนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคนี้กำลังกลายเป็นสนามแข่งขันทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญระหว่างสองมหาอำนาจของโลก

*เวียดนาม: ฉลองสัมพันธ์ 75 ปี พร้อมจับมือต้าน "การกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว"

ปธน.สี ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยนั้น เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย ณ กรุงฮานอย เมื่อวันจันทร์ (14 เม.ย.) เพื่อเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของโต เลิม เลขาธิการใหญ่คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และเลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม โดยมีเลือง เกื่อง รวมถึงคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสและผู้แทนท้องถิ่น ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นที่สนามบิน

"นี่เป็นการต้อนรับระดับสูงสุดสำหรับผู้นำประเทศ ซึ่งเวียดนามมอบให้กับปธน.สี แสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตของรัฐบาลเวียดนามในการขยายความร่วมมือกับจีน" เลอ ดัง นักเศรษฐศาสตร์และอดีตที่ปรึกษารัฐบาลในกรุงฮานอย กล่าว

ทั้งนี้ หลังจากเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ปธน.สีได้พบปะหารือกับฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ซึ่งในโอกาสนี้ ผู้นำจีนได้กล่าวกระตุ้นจีนและเวียดนามร่วมกันต่อต้านการครองอำนาจนำ เอกภาพนิยมหรือการกระทำเพียงฝ่ายเดียว และการกีดกันทางการค้า

ปธน.สียังได้กล่าวชื่นชมความสำเร็จของเวียดนามภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ และเสนอให้ทั้งสองประเทศร่วมสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เสริมสร้างการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ เพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนระดับสูง และร่วมกันดำเนินตามแผนริเริ่มระดับโลกต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคและโลก นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูง เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมเกิดใหม่ สนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี กระชับความร่วมมือทางวัฒนธรรม ในโอกาสที่จีนและเวียดนามเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ในโอกาสนี้ สองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ 45 ฉบับ ครอบคลุมด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ห่วงโซ่อุปทาน ปัญญาประดิษฐ์ การค้าสินค้าเกษตร ฯลฯ พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรและยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน

ด้านนายกฯ เวียดนามกล่าวว่า การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หลังจากที่ปธน.สีเดินทางออกจากเวียดนามไม่นาน เวียดนามได้ออกแถลงการณ์ร่วมระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะมุ่งความสนใจไปที่ข้อจำกัดทางการค้าและการลงทุน พร้อมให้คำมั่น "คัดค้านการดำเนินการฝ่ายเดียว" และการกระทำใด ๆ ที่เป็น "อันตรายต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค"

ขณะที่นักวิเคราะห์ เหงียน คัก เกียง จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ในสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า "เวียดนามต้องการเข้าถึงตลาดจีนมากขึ้นโดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ความเคลื่อนไหวใดก็ตามของสี จิ้นผิงในฮานอย และการสื่อสารข้อความใดก็ตามจากรัฐบาลเวียดนามอาจถูกมองว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดของผู้นำเวียดนามและจีนต่อต้านรัฐบาลทรัมป์"

*มาเลเซีย: มุ่งสู่ "50 ปีทอง" แห่งความสัมพันธ์ พร้อมเสริมสร้างความร่วมมืออาเซียน

หลังเสร็จสิ้นภารกิจในเวียดนาม ปธน.สีเดินทางถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันอังคาร (15 เม.ย.) ด้วยความคาดหวังว่าการเยือนครั้งนี้จะนำพาสู่ "50 ปีทอง" รอบใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคี รวมถึงเปิดบทใหม่ของมิตรภาพระหว่างสองประเทศ

การเยือนมาเลเซียครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของปธน.สีนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำจีนในปี 2556 โดยนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเคยกล่าวถึงจีนว่าเป็น "มิตรแท้" และเดินทางเยือนจีนมาแล้วสามครั้ง ได้ให้การต้อนรับปธน.สี ด้วยตนเองที่สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์

"นี่เป็นการเยือนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณสามารถตีความได้หลายแบบ" โมฮาเหม็ด นาซรี อับดุล อาซิซ อดีตเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำสหรัฐฯ กล่าวกับอัลจาซีรา "จีนกำลังบอกเราว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เชื่อถือได้มากกว่าสหรัฐฯ เราไม่เคยมีปัญหาในการทำธุรกิจกับพวกเขา"

"ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ มาเลเซียกำลังใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดี" เขากล่าวเสริม พร้อมระบุว่า ในระยะยาว อิทธิพลของวอชิงตันจะลดลง ในขณะที่ความสัมพันธ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนกำลังแข็งแกร่งขึ้น และทั้งสองประเทศต่างได้รับประโยชน์

ทั้งนี้ สุลต่าน อิบราฮิม สุลต่าน อิสกันดาร์ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ทรงจัดพิธีต้อนรับผู้นำจีนอย่างยิ่งใหญ่ และปธน.สีได้เดินตรวจแถวกองทหารเกียรติยศด้วย ก่อนที่จะพบปะหารือกับนายกฯ อันวาร์ที่เมืองปุตราจายา โดยกระทรวงต่างประเทศมาเลเซียเปิดเผยว่า ปธน.สีและนายกฯ อันวาร์เป็นสักขีพยานการลงนามข้อตกลงทวิภาคีหลายฉบับ

มาเลเซียเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของจีน โดยเป็นที่ตั้งของโครงการ Belt and Road Initiative หลายโครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟจีนมูลค่า 11.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซียมาเป็นเวลา 16 ปีติดต่อกันแล้ว โดยการค้ากับจีนคิดเป็น 16.8% ของการค้ากับต่างประเทศของมาเลเซียในปีที่แล้ว

การเดินทางเยือนมาเลเซียของปธน.สีในครั้งนี้ยังถูกจับตาในฐานะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียนปัจจุบันอีกด้วย โดยผู้นำจีนกล่าวในระหว่างเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีอิบราฮิมแห่งมาเลเซียว่า จีนสนับสนุนมาเลเซียในบทบาทประธานอาเซียน พร้อมส่งเสริมกลุ่มประเทศโลกใต้เพื่อความก้าวหน้าร่วมกัน

*กัมพูชา: มิตรภาพ "แข็งแกร่งดั่งเหล็ก"

ธงกัมพูชาและจีนโบกสะบัดทั่วกรุงพนมเปญเพื่อเตรียมต้อนรับปธน.สีที่มีกำหนดเดินทางถึงเมืองหลวงของกัมพูชาในวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) นักประวัติศาสตร์การเมืองมองว่า จังหวะการเยือนนี้เป็น "โอกาสอันเหมาะสม" เพื่อตอบโต้ตะวันตก โดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐฯ กำหนดมาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งกัมพูชาโดนหนักสุดในอาเซียนที่อัตรา 49%

รส จันทราบุตร จากราชบัณฑิตยสภากัมพูชา กล่าวกับเดอะ คัมโบเดีย ไชน่า ไทมส์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในกัมพูชาว่า การเดินทางเยือนของผู้นำจีนเปรียบเสมือน "การเตือนสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และโดยเฉพาะทรัมป์ ให้รู้ว่าโลกไม่ได้มีแค่สหรัฐฯ" พร้อมเสริมว่าจีนมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสำคัญในเอเชีย "จีนไม่ละทิ้งเอเชีย เพราะที่นี่คืออู่ข้าวของจีนเช่นกัน"

เพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชากล่าวว่า เขายังไม่สามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับการหารือระหว่างปธน.สีกับผู้นำกัมพูชาก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะพบปะหารือกัน อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ปธน.สีจะลงนามข้อตกลงหลายฉบับกับกัมพูชาในวันที่ 17 เม.ย. และจะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พบประธานวุฒิสภา ฮุน เซน และนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ก่อนเดินทางกลับในวันที่ 18 เม.ย.

ด้านนักวิเคราะห์ เจย เต็ก ให้สัมภาษณ์กับคีรีโพสต์ว่า การเยือนของปธน.สีแสดงถึงสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดด้านการค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม พร้อมทั้งคาดว่า นอกจากความร่วมมือทวิภาคี อาทิ โครงการพัฒนาต่าง ๆ เช่น คลองฟูนันเตโช และทางด่วนพนมเปญ-เสียมเรียบ-ปอยเปตแล้ว จีนจะหารือประเด็นระดับภูมิภาค โดยเฉพาะนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ต่ออาเซียน ซึ่งหลายประเทศสมาชิกถูกกำหนดอัตราภาษีสูงเป็นอันดับต้น ๆ

ซอย โซเฟียบ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์กัมพูชา-จีน กล่าวว่าการเยือนของผู้นำจีนจะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดสำหรับนายกฯ ฮุน มาเนตในปีนี้ สะท้อนสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นและการสืบทอดมิตรภาพจากรุ่นสู่รุ่น โดยครั้งหนึ่ง ปธน.สีเคยนิยามความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีน-กัมพูชาว่า "แข็งแกร่งดั่งเหล็ก"

*อาเซียน: สมรภูมิการค้าจีน-สหรัฐฯ

ในปี 2567 จีนเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับสามของเวียดนาม (รองจากสิงคโปร์และเกาหลีใต้) เป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับสามในมาเลเซีย และเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา อีกทั้งจีนยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซียมาเป็นเวลา 16 ปีติดต่อกันแล้ว โดยการค้ากับจีนคิดเป็น 16.8% ของการค้ากับต่างประเทศของมาเลเซียในปีที่แล้ว ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยยอดส่งออกจากจีนไปยังกลุ่มอาเซียนพุ่งขึ้น 11.6% ในเดือนมี.ค. 2568 โดยเฉพาะการส่งออกไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งเกือบ 19%

ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็เป็นคู่ค้ารายใหญ่ของทั้งสามประเทศเช่นกัน ตามข้อมูลจากทางการสหรัฐฯ ที่ระบุว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าให้เวียดนาม 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขาดดุลกับมาเลเซีย 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และกัมพูชาที่ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จนนำมาสู่การที่ทั้งสามประเทศต้องเผชิญมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกที่ 46%, 24% และ 49% ตามลำดับ

การขู่ว่าจะเก็บภาษีของสหรัฐฯ ทำให้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเดินบนเส้นทางที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น โดยทรัมป์เรียกร้องความร่วมมือจากเวียดนามและคู่ค้าอื่น ๆ ให้ช่วยหยุดจีนจากการหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีการส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม การเลื่อนเก็บภาษีออกไป 90 วัน จึงสะท้อนว่าสหรัฐฯ กำลังดำเนินนโยบายที่ทั้งผ่อนปรนและกดดันประเทศคู่ค้าไปพร้อมกัน

ในทางกลับกัน จีนพยายามกระชับความสัมพันธ์โดยการยื่นข้อเสนอที่น่าดึงดูด เช่น สัญญาว่าจะขยายการเข้าถึง "ตลาดขนาดใหญ่" ของจีน ตลอดจนแสดงให้เห็นว่า จีนเป็นพันธมิตรที่ประเทศอาเซียนสามารถไว้วางใจได้มากกว่าสหรัฐฯ

ท่ามกลางสมรภูมิการค้าที่ร้อนระอุระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาเซียนกำลังถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่งการช่วงชิงอิทธิพลของสองยักษ์ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ผิดนักที่หลายฝ่ายมองว่า ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้นำจีนเลือกเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เป็นทริปต่างประเทศประเดิมปี 2568 พร้อมภาพสะท้อนว่า อาเซียนกำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยต้องรักษาสมดุลละเอียดอ่อนระหว่างสองขั้วอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างเร่งรุกหมากบนกระดานอาเซียน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ