เศรษฐกิจโลกในยุคดิจิทัลทำให้เกิดคอนเทนต์มากมายมหาศาล รวมทั้งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงไอเดียและส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นอีกต่อไป โลกของเราถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแบบก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว
คู่แข่งของเราอาจจะไม่ใช่ร้านค้าริมถนน ร้านค้าในเมืองหรือในประเทศอีกต่อไป แต่เป็นคู่แข่งจากอีกฟากหนึ่งของโลกที่จะเข้ามาขโมยไอเดียของเราไป
*ปรากฎการณ์นี้ เกิดขึ้นทุกที่
เจฟฟ์ บัลลาส ผู้เขียนบทความนี้บอกว่า ยังจำได้ถึงตอนที่ไปรับพัสดุของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งพัสดุมีน้ำหนักมากพอสมควร และถูกส่งมาจากลอนดอนซึ่งห่างออกไปหลายพันไมล์
เจฟฟ์จึงถามแพท เพื่อนของเขาว่ามันคืออะไร ผลปรากฎว่า พัสดุคือชิ้นส่วนกันสะเทือนของรถยนต์ ซึ่งหนักประมาณ 20 กิโลกรัม (44 ปอนด์) ทำให้เขาเกิดความสงสัยและถามต่อไปว่า "ทำไมถึงสั่งมาจากลอนดอนล่ะ?" แพทตอบว่า "ก็เพราะมันถูกกว่าตั้ง 40% รวมค่าส่งแล้วด้วยนะ"
ตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นได้ว่า ธุรกิจของเราไม่ได้มีภูมิคุ้มกันจากการแข่งขันในระดับท้องถิ่นอีกต่อไป
มีการคาดการณ์ว่า ภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จะมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอีกราว 3 พันล้านคน ซึ่งหมายความว่า จะมีกลุ่มธุรกิจที่แข่งขันกันมากขึ้นบนโลกไซเบอร์ที่มีจำนวนเว็บไซต์กว่า 1 พันล้านเว็บไซต์
และนั่นก็ทำให้เกิดความวุ่นวาย และการแข่งขันที่สูงขึ้นไปอีก
*และจะทำอย่างไรให้สามารถแข่งขันในโลกดิจิทัลได้?
พบกับฮาวทูในการจับตาคู่แข่ง และก้าวนำเกมการแข่งขันทั่วโลก
ในอดีต ช่วงก่อนที่จะมีเว็บไซต์นั้น เป็นเรื่องยากที่เราจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคู่แข่ง นอกเสียจากการไล่ถามลูกค้า ลูกจ้าง หรือค้นถังขยะของบริษัทคู่แข่ง ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหน หากคุณไปค้นถังขยะจริงๆก็ถือเป็นเรื่องที่เกินไป
วันนี้ การหาข้อมูลคู่แข่งเป็นเรื่องที่ง่ายและโปร่งใสมากขึ้น ด้วยเสิร์ชเอนจินและเว็บโซเชียล เนื่องจากมีข้อมูลกระจายอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่บนเครือข่ายโซเชียลทั้งสิ้น
*เคล็ดไม่ลับ เจาะความลับคู่แข่ง
แล็บท็อปสักเครื่อง ต่ออินเทอร์เน็ต เข้ากูเกิล เพียงแค่นี้เราก็เล่นเกมนักสืบ เจาะความลับคู่แข่งได้แล้ว
จำให้ขึ้นใจว่า ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ได้อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาเอง แต่มาจากการนำสิ่งที่คนอื่นค้นพบไว้แล้วมาประยุกต์ต่างหาก
เฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งค่ายรถฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า “ผมไม่ได้คิดค้นอะไรใหม่ ผมแค่รวบรวมสิ่งที่คนอื่นค้นพบไว้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำไว้มาหลายร้อยปี"
หรือแม้แต่สตีฟ จอบส์ ตำนานเบื้องหลัง iPhone ก็เคยกล่าวไว้ด้วยว่า “เราไม่เคยรู้สึกละอายใจที่ขโมยไอเดียดีๆของคนอื่นมา"
แล้วเราจะเริ่มตรงไหน แล้วเราจะทำอย่างไร
*ขั้นตอนที่ 1: กูเกิลคู่แข่ง
แม้ว่า หน้าเว็บกูเกิลจะดูเชยไปสักนิด แต่กูเกิลก็ยังคงเป็นเว็บยอดนิยมในการใช้ส่องคู่แข่ง
ถ้าอยากจะรู้ว่าบริษัทไหนถูกยกให้เป็นสุดยอดแล้ว ลองค้นหาด้วยคำๆนั้นดู สมมุติลองกูเกิ้ลคำว่า “Top Content Marketers" หรือ “สุดยอดนักการตลาดคอนเทนต์" จากนั้นลองกดเข้าไปดูเว็บไซต์เหล่านั้น ดูว่า เขาทำคอนเทนต์เพื่อเรียกความสนใจอย่างไรบ้าง
หรือถ้าอยากเปรียบเทียบตนเองกับคู่แข่ง ลองเข้าเว็บ similarweb.com ซึ่งให้ข้อมูลทั้งแหล่งที่มาของผู้เข้าเว็บ เช่น ข้อมูลการเสิร์ชชื่อบริษัท ชื่อบริการของบริษัท มาจากการที่ชื่อเว็บของเราไปติดอยู่บนเว็บอื่น หรือพิมพ์ชื่อเว็บเข้ากันตรงๆ นอกจากนี้ เว็บยังบอกคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้เว็บระบุค้นหาเว็บไซต์ และบอกรายชื่อเว็บไซต์อื่นๆที่มีลักษณะคล้ายกัน หรือที่เป็นคู่แข่งนั่นเอง ใช้เว็บดังกล่าวดูได้ทุกเว็บ ทั้งเว็บของเราและของคู่แข่ง ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
*ขั้นตอนที่ 2: ศึกษาความเคลื่อนไหวของผู้บุกเบิก
คู่แข่งไม่ได้มีไอเดียดีๆเสมอไป ยิ่งอยู่ในแวดวงธุรกิจแบบดั้งเดิมเท่าไร โอกาสสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆก็จะน้อยลง ทุกวันนี้เราต้องก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน หากไม่อยากกลายเป็นไดโนเสาร์ยุคดิจิทัล จำ Kodak กับร้าน Tsutaya ได้หรือเปล่า ตอนนี้ยังมีให้เห็นอยู่ไหม
ถ้าไม่อยากกลายเป็นไดโนเสาร์ ลองดู Uber, Airbnb, BuzzFeed แล้วศึกษาเป็นตัวอย่าง ดูว่าบริษัทเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์อย่างไรบ้าง ทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจจนทำให้คนสมัครใจแชร์ต่อๆกันได้อย่างไร
หากคุณอยากทราบเบื้องหลังการทำงานของพวกเขา ลองหากรณีตัวอย่างในกูเกิ้ลดู (เช่น ลองเสิร์ช "กรณีศึกษาของบริษัท "X") เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดสุดเจ๋งที่พวกเขาเลือกใช้
ขณะเดียวกัน เราก็ควรสำรวจเว็บไซต์หรือบล็อกของพวกเขาให้หมดทุกซอกทุกมุม เมื่อใดก็ตามที่เราได้ URL มา ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเจาะลึกเว็บไซต์ บล็อก และเทคนิคการทำการตลาดของพวกเขา
ลิสต์คำถามน่ารู้:
- พวกเขาเรียกความสนใจจากลูกค้าผ่านป็อปอัพอีเมลหรือไม่
- พวกเขาทำบล็อกของตัวเองหรือเปล่า
- คอนเทนต์ของพวกเขาดี ดีเยี่ยม หรือผสมๆกันไป
- พวกเขาใช้แผนการตลาดแบบ Call-to-Action หรือไม่
- พวกเขาใช้คีเวิร์ดหรือรูปประโยคที่เหมาะสมกับตลาดเฉพาะกลุ่มหรือไม่
*ขั้นตอนที่ 3: เกาะติดโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียถือเป็นแหล่งรวมข้อมูลชั้นดี เพราะเป็นช่องทางสาธารณะที่เปิดให้ทั้งคู่แข่งและนักนวัตกรรมบนโลกออนไลน์ได้เข้าไปดูกันแบบฟรีๆ แล้วจะมีแหล่งข้อมูลไหนที่จะดีไปกว่านี้อีกล่ะ!
นี่คือตัวอย่างเช็คลิสต์สำหรับประเมินคู่แข่งบนโลกโซเชียล
เฟซบุ๊ก:
- มียอดไลค์เท่าไร
- วิธีการโพสต์เป็นอย่างไร
- คอมเมนต์จากผู้อ่านเป็นไปในทิศทางใด
- มีการซื้อโฆษณาในเฟซบุ๊กหรือไม่
ทวิตเตอร์:
- ยอดผู้ติดตามมีจำนวนเท่าไร
- มีโพสต์ที่ได้รับการรีทวีตกี่โพสต์
- พวกเขาทวีตรูปภาพหรือมีการใช้แฮชแท็กหรือไม่
- พวกเขาใช้ทวิตเตอร์เพื่อทำการตลาดแบบ Call-to-Action หรือไม่
อินสตาแกรม:
- ยอดผู้ติดตามมีจำนวนเท่าไร
- อินสตาแกรมมีการเคลื่อนไหวบ่อยแค่ไหน
- การมีส่วนร่วมของผู้ติดตามเป็นอย่างไร
ยูทูบ:
- ยอดวิวอยู่ที่เท่าไร
- ยอดผู้ติดตามมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน
- คอนเทนต์ของพวกเขาเป็นอย่างไร
*โซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ
หากมีเวลามากพอ และอยากที่จะรู้เรื่องราวต่างๆให้ลึกลงไปมากกว่านี้ ให้ลองตั้งคำถามเดียวกันกับโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ เช่น พินเทอเรส, สไลด์แชร์ หรือ เพอริสโคป
คำตอบที่ได้นั้นจะทำให้เรามองเห็นถึงจุดดีและจุดด้อยของคู่แข่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ เอาเป็นแบบอย่าง และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปได้
อย่าลืมว่า จุดประสงค์หลักของการสืบค้นข้อมูลเหล่านี้คือการจุดประกายจินตนาการของตัวเรา เพื่อที่เราจะได้พบกับไอเดียใหม่ๆ และสร้างสรรค์ผลงานที่แปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใครได้ด้วยตัวเอง
*เราจะสอดแนมล้วงความลับไปทำไมกัน
ประโยชน์ของการสอดแนมล้วงความลับคู่แข่งและนักบุกเบิกไม่ใช่การลอกหรือการทำเรื่องซ้ำซากเพิ่มเข้าไปในตลาดอีก เพราะนั่นจะทำให้เรากลมกลืนไปกับคนอื่น
หากต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่โดดเด่น ลองนำข้อมูลที่รวบรวมได้ แล้วลองนึกภาพว่าเราจะนำไปสร้าง หรือต่อยอดสิ่งใหม่ๆ ออกมาในแนวทางใดได้บ้าง
การนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้นั้นให้ประโยชน์ถึง 2 เด้ง
- นำไปใช้วางโมเดลที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานได้
- ช่วยให้เราเห็นข้อมูลเชิงลึกของนักบุกเบิกดิจิทัลระดับโลก จนเราสามารถนำพาธุรกิจไปสู่มิติใหม่
*การวางโมเดล
การกำหนดโมเดลธุรกิจเพื่อตั้งเป้าเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในวงการ ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีหากจะปั้นธุรกิจเพื่อแข่งขันในระดับโลก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การผสานโมเดลดังกล่าวเข้ากับดีเอ็นเอธุรกิจของคุณเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นจะทำให้เราไปไม่ได้ไกล เพราะการแทนที่โดยเทคโนโลยีดิจิทัล หรือสถานการณ์ Digital Disruption เกิดขึ้นนอกเหนือวงการของเราบ่อยครั้งไป สังเกตได้จากสิ่งที่ iTunes ของ Apple ทำกับวงการเพลง เพราะนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
*นวัตกรรม
ถ้าเราง่วนอยู่กับการมองนิช มาร์เก็ตของเราเพื่อหาไอเดีย บอกได้เลยว่า เรากำลังพลาดโอกาสที่จะได้เห็นข้อมูลเจาะลึก กลยุทธ์ และเคล็ดลับซึ่งจะช่วยเราให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
ผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้นนำในแวดวงแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ควรจับตา ได้แก่ กระทิงแดง และLego
ขณะที่ธุรกิจคอนเทนต์ออนไลน์ ซึ่งมีความแปลกใหม่และประสบความสำเร็จมาก คือ Upworthy, BuzzFeed และ ViralNova
ส่วนวงการบล็อกนั้น เรียกได้ว่า HubSpot, Buffer และ Kissmetrics ต่างทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
*กรณีศึกษานวัตกรรมที่อยู่ภายนอกตลาดเฉพาะกลุ่ม
ตัวอย่างของเว็บบล็อกที่มีผลงานยอดเยี่ยมซึ่งสร้างความแปลกใหม่และวางโมเดลสำหรับการสร้างคอนเทนต์และการตลาด นั่นคือ Movoto บริษัทบริการอสังหาริมทรัพย์ เพราะบริษัทนี้สังเกตดูหนึ่งในเจ้าแห่งคอนเทนต์อย่าง Upworthy (และเจ้าอื่น) ทำ และนำมาวางเป็นโมเดลของตัวเอง แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่อยู่นอกนิชมาร์เก็ตของบริษัท
Movoto ได้นำไอเดียเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ การตลาด และการกระตุ้นลิงค์ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มยอดรับชมบล็อกอสังหาริมทรัพย์จาก 2,000 สู่ 18 ล้านครั้งต่อเดือน ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี! Movoto ทำได้อย่างไร? คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งก็คือการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ และ Movoto บริษัทที่ให้ความสำคัญกับแนวทางที่พับบลิชเชอร์ออนไลน์รายใหญ่ทำให้คอนเทนต์ของตนเองถูกแชร์และกลายเป็นไวรัล ได้ตัดสินใจนำเทคนิคเหล่านั้นมาเป็นแบบอย่างในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สเตปสำคัญ
1. วางเป้าหมาย
Movoto อยากรู้ว่าการประสบความสำเร็จคืออะไร และนี่คือความสำเร็จที่พวกเขาได้รับ
- จำนวนการอ้างอิงบนเว็บและสื่อออฟไลน์ เช่น ลิงค์ การกล่าวถึง หรือแม้แต่รายการทีวี
- การบรรลุจำนวนบทความต่อสัปดาห์
- คุณภาพของบทความถูกกำหนดด้วยจำนวนการแชร์
- อัตราการแชร์ถูกกำหนดด้วยคุณภาพ ซึ่งหมายถึงความสำเร็จและคุณภาพบนเว็บ
2. ตระหนักถึงผลลัพธ์สุดท้ายอยู่เสมอ
เป้าหมายสุดท้ายของ Movoto คือ การได้รับ "ลิงค์" เป็นจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงต้องการที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเชื่อมต่อกับบริษัท และได้ทำการศึกษา (โดยใช้ Google และ Ahrefs) และสร้างคอนเทนต์ตามไอเดียที่ได้จากการประชุมระดมสมองประจำสัปดาห์
3. ผลักดันและพิตช์ (pitch)
ที่ Movoto สมาชิกแต่ละคนจะนำเสนอบริการต่อกลุ่มเป้าหมายโดยใช้อีเมล
อีเมลพิชต์แต่ละฉบับประกอบด้วยกลยุทธ์เหล่านี้:
- อธิบายเนื้อหาให้เข้าใจง่ายเหมือนอธิบายให้คุณแม่ฟัง
- คอลทูแอคชั่น (Call to action) สำหรับเป้าหมายเฉพาะ (เช่น การคลิกลิงค์ หรือส่งอีเมลกลับ)
- บอกเล่าประโยชน์ หรือมูลค่าเพิ่มเพื่อให้ถูกกล่าวถึง
- เป้าหมายที่เราเขียนหัวข้อนี้
4. เรียนรู้จากผู้บุกเบิก
ทีมงานของ Movoto ตั้งคำถามว่า "ทำไมเราต้องเสียเวลาไปกับการสร้างสรรค์สิ่งที่มีอยู่แล้ว?" ทีมงานเหล่านี้จึงดูแบบอย่างผู้บุกเบิกคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง (และอื่นๆ) เหล่านี้ และนำกลยุทธ์ของพวกเขามาเป็นต้นแบบ
- Upworthy
- Mashable
- BuzzFeed
- Gawker
- The Verge
5. นำกลยุทธ์การตลาดไวรัลมาปรับใช้
ในส่วนนี้ควรเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่า คอนเท้นต์ไหนที่ประสบความสำเร็จและใครเป็นผู้ประสบความสำเร็จในการผลิตคอนเท้นต์
ในส่วนของคอนเทนต์นั้น สิ่งสำคัญรวมถึง:
- บทความประเภทลิสต์รายการ
- ฮีตแมป
- ภาพขนาดใหญ่เต็มจอ
-อินโฟกราฟฟิกที่ดูดี
- การคัดสรรคอนเทนต์วิดีโอ
เว็บไซต์ที่ดีที่สุดที่มีการใช้องค์ประกอบดังกล่าวประกอบด้วย
- ViralNova
- Nieman Lab
- Digiday
- Upworthy
- BuzzFeed
6. นำข้อมูลอัตราการคลิกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อให้ผู้คนคลิกดูข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย (โดยเฉพาะบนเฟซบุ๊ก) เราต้องใส่ใจองค์ประกอบเหล่านี้แบบจัดเต็ม:
- เฮดไลน์
- ภาพประกอบ
- คำบรรยายสั้น ๆ
ขอย้ำอีกครั้งว่า Movoto ไม่ได้พยายามที่จะลองและสร้างความสำเร็จด้วยตัวเอง แต่บริษัทใช้โมเดลของ Upworthy
7. นำอัตราการกดแชร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การเพิ่มยอดแชร์ให้ได้สูงสุดในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราจะใส่ใจใน 3 อย่าง กล่าวคือ:
1. เฟซบุ๊ก
2. การเล่าเรื่อง
3. ใส่ใจในตนเอง
สรุปก็คือ ผู้คนจะให้ความสนใจกับคอนเทนต์ไวรัลที่ถูกเขียนขึ้นเกี่ยวกับตนเอง
8. เพิ่มประสิทธิภาพคอนเทนต์เพื่อให้ค้นหาง่ายในเสิร์ชเอ็นจิ้น
เสิร์ชเอ็นจิ้นจะช่วยดึงคนเข้ามาอ่านบทความอยู่เสมอ แม้กระแสการแชร์ข่าวหรือบทความจะซาลงไปแล้ว ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูลให้ค้นหาง่ายถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
แล้ว Movoto เน้นความสนใจเรื่องอะไรในการทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับเสิร์ชเอ็นจิ้น?
- ทำให้เพจเหมาะกับเสิร์ชเอ็นจิ้น โดยค้นคว้าคำสำคัญ การใช้ Slug (คำสำคัญที่ปรากฎอยู่ใน URL) และชื่อหัวข้อ
- โครงสร้างของเว็บไซต์
ผลลัพธ์ที่ได้
แล้วผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการค้นคว้า ระดมความคิด สร้างคอนเทนต์ เพิ่มประสิทธิภาพ และการผลักดันคอนเทนต์?
บทความทั่วไปบทความหนึ่ง จะมี:
- ผู้เข้าชม 37,500 ครั้ง
- มียอดสร้างปฏิสัมพันธ์บนเฟซบุ๊กอยู่ที่ 5,600
- อีเมลโปรโมชั่น 13 ฉบับ
- ลิงค์ 10 ลิงค์
นอกจากนี้ยังมีผู้เข้ากดเข้าชมเพจอีกประมาณ 18 ล้านวิวต่อเดือน ซึ่งสำหรับ Movoto แล้ว สถิตินี้ถือเป็นการเดินทางและการลงทุนที่ต่อเนื่อง การทำการตลาดคอนเทนต์จะต้องใช้เวลา ความต่อเนื่องและการทำงานอย่างหนัก
*แล้วนวัตกรรมด้านการทำตลาดในอนาคตจะเป็นเช่นไร?
โลกดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และจุดตัดของเทคโนโลยีก็ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจในรูปแบบเดิมๆ และนี่คือ 3 สิ่งที่เราต้องเฝ้าจับตาหากต้องการขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของสนามแข่งขัน
*การทำการตลาดแบบอัตโนมัติ
การกระจายของสื่ออย่างโทรทัศน์ วิทยุ และระบบอนาล็อก ไปสู่ความเป็นสื่อโซเซียลและมัลติมีเดียในรูปแบบดิจิทัล ได้สร้างความยุ่งยากซับซ้อนให้กับการทำการตลาด
ต่อไปนี้การทำงานด้วยดินสอ กระดาษ แผ่นตาราง หรือในห้องทำงานเหมือนกับผึ้งงานจะให้ประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพออีกต่อไป
แอปพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติอย่าง Marketo, Hubspot และอื่นๆ จึงกลายมาเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักการตลาดมืออาชีพในขณันี้
เครื่องมือเหล่านี้ถูกพัฒนาให้มีความฉลาดมากขึ้น ใช้งานง่าย และราคาถูก หากเราไม่ได้ให้ความสนใจหรือใช้เครื่องมือเหล่านี้ในวันนี้ เราอาจจะตกอยู่ในภาวะที่สายเกินไปในการเผชิญหน้ากับคู่แข่ง
และ..มันก็จะกลายเป็นต้นทุนของคุณ
*ปัญญาประดิษฐ์และการนำหุ่นยนต์มาใช้แทนแรงงานคนมากขึ้น
การที่เครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ที่เข้ามาทำงานแทนแรงงานมนุษย์มากขึ้นนั้น ถูกพยากรณ์มาตั้งแต่ที่เราได้ดู HAL ในภาพยนตร์เรื่อง “2001: A Space Odyssey" ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2511 และในอีกทศวรรษต่อมา เราก็ได้เห็นจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนตัว อินเทอร์เน็ต เครือข่ายโซเซียล และสมาร์ทโฟน โดยจุดตัดของเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงความบันเทิง, ธุรกิจ และวิถีชีวิตของเรา
โทรศัพท์มือถือและเครือข่ายโซเซียลเป็นทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์ 7 พันล้านคนกลายเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราว ตอนนี้พวกเราทุกคนต่างก็เป็นผู้ผลิตวีดีโอ ตากล้อง และนักเขียน ที่เผยแพร่เรื่องราวต่างๆ ออกสู่สาธารณะหลายพันล้านครั้งในทุกๆชั่วโมง
ผลลัพธ์น่ะเหรอ? ข้อมูลล้นทะลัก!!!
จากจำนวนข้อมูลบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มาพร้อมเครื่องประมวลผลทรงประสิทธิภาพขนาดใหญ่ จึงมีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการกับขนาดของข้อมูลออนไลน์
ซึ่งรวมถึงการค้นหาข้อมูลบนกูเกิลและเฟซบุ๊กด้วย
เราอาจจะไม่ทันสังเกตว่ามีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังทำงานอยู่บนเครือข่ายโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่เราใช้งานอยู่เป็นประจำ
- การแท็กหาเพื่อน ๆ บนเฟซบุ๊ก และเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า
- เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึกที่ปะติดปะต่อกันเป็นบทความแนะนำบนเฟซบุ๊ก ขั้นตอนต่าง ๆ บน Newsfeed รวมถึงหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยม
- LinkedIn ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการจับคู่บริษัทกับผู้สมัครงาน เพื่อโอกาสที่ดีขึ้นในการหางาน
- Pinterest ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา และจดจำภาพ
นี่เป็นเพียงแค่โหมโรงเท่านั้น เราจะได้เห็นการใช้เทคโนโลยีและแนวโน้มดังกล่าวผ่านเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์อัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้ประกอบการจำเป็นต้องนำเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาใช้ เพื่อที่จะได้นำหน้าคู่แข่งในตลาด
*การตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการดึงดูดความสนใจ
สื่อโซเชียลแบ่งกลุ่มผู้สนใจหัวข้อต่าง ๆ ไว้ทั่วโลก
เหล่าบล็อกเกอร์เองก็รังสรรค์คอนเทนต์เกี่ยวกับแฟชั่น อาหาร และความสนใจเฉพาะด้านอื่น ๆ อีกหลายพันชิ้น บล็อกเกอร์เหล่านี้มีทั้งผู้ติดตามและผู้ที่ให้การสนับสนุนทั้งในอินสตาแกรม, ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก ผ่านการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากคอนเทนต์ที่แท้จริง
เมื่อการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นไปได้ยากจากข้อมูลอันมหาศาลบนโลกออนไลน์ การใช้บุคคลที่กำลังอยู่ในความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงผู้ที่มีอิทธิพลด้านแนวคิด จึงเป็นช่องทางใหม่ของการทำตลาด
ปัจจุบัน แบรนด์ต่าง ๆ กำลังจ้างอินฟลูเอ็นเซอร์เหล่านี้ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตนเอง
อะไรคือความท้าทายของเรา?
จอห์น เมย์นาร์ด คีย์เนส กล่าวว่า “การพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ ยังมีอุปสรรคน้อยกว่าการพยายามหลุดจากกรอบเดิม ๆ เสียอีก"
ในฐานะนักการตลาดและผู้ประกอบการ คุณต้องบอกลาเทคนิคและวิธีการเดิม ๆ ที่ไม่ได้ผลไปเสีย เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คุณต้องปรับปรุงนวัตกรรมเพื่อนำหน้าคู่แข่ง ตลอดจนนักประดิษฐ์หน้าใหม่ รวมถึงผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ
หากอยากรู้ว่าเสียงตอบรับจากลูกค้าที่ดีนั้นช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ลองดาวน์โหลดอีบุ๊คฟรีนี้ดู Listen: 5 Social Audiences Brands Can’t Afford to Ignore
เจฟฟ์ บัลลาส เป็นผู้ประกอบการ บล็อกเกอร์ นักเขียน นักการตลาด และวิทยากรมากความสามารถที่ทำงานร่วมกับธุรกิจต่าง ๆ ในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแบรนด์เหล่านั้นบนโลกดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เนื้อหาต่าง ๆ โซเชียลมีเดีย รวมถึงการตลาดออนไลน์ เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และนักการตลาดออนไลน์ผู้ทรงอิทธิพลลำดับต้น ๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้านการตลาดออนไลน์อันดับ 1 ของโลกประจำปีที่แล้ว เจฟฟ์เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีที่ชื่อ “Blogging the Smart Way – How to Create and Market a Killer Blog with Social Media“ สำหรับกลยุทธ์หลักของเจฟฟ์นั้น คือ การสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการมุ่งสู่ความสำเร็จในธุรกิจรวมถึงการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์
ที่มา: พีอาร์นิวส์ไวร์