Media Talk: 4 ผู้บริหารธุรกิจชั้นแนวหน้าเผยแนวโน้มธุรกิจไทยและ วิสัยทัศน์การทำธุรกิจรับปี 2560

ข่าวทั่วไป Tuesday November 22, 2016 12:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

อีกไม่กี่สัปดาห์ก็ใกล้เวลาที่จะต้องบอกลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันแล้ว ปีนี้เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมากมาย หลายคนคงอยากรู้ว่า สถานการณ์ของธุรกิจไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้และปีหน้าจะเป็นอย่างไร ศูนย์การเรียนรู้ M academy จึงได้จัดงานสัมมนาโต๊ะกลมครั้งใหญ่ส่งท้ายปี ในหัวข้อ “Business outlook & must-do for 2017" เพื่อแชร์โอกาสและวิธีการเตรียมพร้อมธุรกิจให้ตอบรับกระแสความท้าทายในปี 2560 พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ เคล็ดลับ แบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดและเทคนิค เพื่อสร้างชัยชนะและผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

สำหรับนักธุรกิจที่ร่วมเป็นวิทยากรครั้งนี้ ต่างมาจากหลากหลายองค์กรชั้นนำ และพร้อมใจมาเป็นกุนซือช่วยวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมน้ำ ก่อสร้าง ค้าปลีก ไปจนถึงดีลเมคเกอร์ชั้นแนวหน้าของประเทศ โดยมี รศ.ดร. กฤษติกา คงสมพงษ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

  • ผู้บริหาร "อีสท์วอเตอร์" เผยแม้ไม่มีคู่แข่ง ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดปัญหา

คุณจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ "อีสท์วอเตอร์" ผู้ให้บริการน้ำดิบรายใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ธุรกิจของอีสท์วอเตอร์นั้นมีโมเดลที่เรียบง่าย เพียงแค่สูบและส่งน้ำให้กับลูกค้า และยังไม่มีคู่แข่งด้วย อย่างไรก็ตาม หนทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เนื่องจากที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้หาแหล่งน้ำได้ยาก ถึงขั้นต้องพึ่งเทวดาเลยทีเดียว

ฐานลูกค้าหลักของอีสท์วอเตอร์นั้นมีอยู่ใน 3 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งล้วนเป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ขณะที่แหล่งน้ำ 80-90% ของบริษัทตั้งอยู่ที่แถบระยองและจันทบุรี ความท้าทายอยู่ตรงที่ว่า จะทำอย่างไรให้อีสท์วอเตอร์สามารถส่งน้ำถึงลูกค้าได้อย่างไม่ขาดสาย เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาคอุตสาหกรรม

คำตอบแรกก็คือต้องแสวงหาแหล่งน้ำใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการส่งน้ำผ่านทางท่อแล้ว ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียน้ำระหว่างทาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อลดการสูญเสียน้ำให้ได้น้อยที่สุดด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบัน อีสท์วอเตอร์สูญเสียน้ำในท่อส่งเป็นสัดส่วนเพียง 2% ซึ่งถือว่าน้อยมาก

นอกจากนี้ ทางอีสท์วอเตอร์ยังมีการมอบผลประโยชน์ให้กับชุมชนตามแนวท่อส่งน้ำ ตามหลักความยั่งยืนซึ่งถือเป็นคีย์เวิร์ดหลักประจำปีนี้ด้วย โดยบริษัทได้จัดหาน้ำสะอาดให้กับชุมชน พัฒนาป่าไม้ และหางานให้กับชาวบ้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน และสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สำหรับมุมมองธุรกิจในปีหน้า คุณจิรายุทธมองว่า ยังคงมีแนวโน้มสดใส เพราะได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ โดยภารกิจของบริษัทคือต้องเตรียมน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ วางแผนรับมือกับภัยแล้งในปีหน้า พยายามหาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้

  • “ทอม เครือโสภณ" ชี้ใครก็เป็นดีลเมคเกอร์ได้ แนะเริ่มต้นด้วยความกล้าที่จะสร้างคอนเนคชั่น

คุณทอม เครือโสภณ ดีลเมคเกอร์แถวหน้าของประเทศ ที่ปรึกษาและนักบริหารผู้คร่ำหวอดอยู่ในหลายสายงานธุรกิจ ได้กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า การเป็นดีลเมคเกอร์นั้นก็เหมือนกับการจับแพะชนแกะ ช่วยหาทางลัดสู่ความสำเร็จให้กับองค์กรทั้งหลาย พาร์ทเนอร์ที่คู่ควรนั้นควรมีทั้งความเหมือนและความต่าง เหมือนกันตรงที่นิสัยใจคอ ต้องคุยกันรู้เรื่อง แต่ต้องต่างกันในเรื่องของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจของทั้งสองฝ่ายเติมเต็มซึ่งกันและกันได้

คุณทอม เปิดเผยว่า ใครๆก็สามารถเป็นดีลเมคเกอร์แบบเขาได้ เพียงแค่ต้องรู้จักเริ่มการสนทนากับคนรอบข้างเพื่อสร้างคอนเนคชั่น ต้องรู้จักหาโซลูชั่นที่วินวินกันทั้งสองฝ่าย เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จในการปิดดีล

สำหรับช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ คุณทอม ได้เตือนว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริง แต่ต้องหันมามองโลกแห่งความเป็นจริง รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และใช้ช่วงเวลานี้ในการวางแผนเตรียมตัวเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายในปีหน้า ปีหน้าไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะดีหรือไม่ดี ทุกอย่างอยู่ที่ใจของตน ถ้ามองว่าดี ทุกอย่างก็จะดี ถ้าเผชิญกับปัญหาก็อย่าหนี ต้องทำตัวเป็นไฟในห้องมืด และพร้อมปรับปรุงตัวเองอยู่สม่ำเสมอ

*ผู้บริหาร “เอสทีพี แอนด์ ไอ" แนะทำความเข้าใจธุรกิจตัวเอง เจอปัญหาให้พุ่งเข้าใส่

คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ประธานคณะกรรมการบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) ผู้เป็นทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองที่เปี่ยมด้วยความสามารถและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งที่เขากอบกู้บริษัทซิโน-ไทยให้ก้าวพ้นจากวิกฤตการเงินในเอเชีย หรือ วิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2540 โดยคุณอนุทินเล่าว่าในช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งหลังจากที่รัฐบาลไทยได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทนั้น เขายังคงมองโลกในแง่บวก และถือคติว่า “มุมตกเท่ากับมุมสะท้อน" โดยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ถึงแม้ธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ล้มละลาย แต่ก็ให้แก้ปัญหาไปทีละขั้น เริ่มจากการนำบริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูธุรกิจ ไม่ให้พนักงานในบริษัทต้องสูญเสียผลประโยชน์ และคิดอยู่ตลอดว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้บริษัทมีเงินหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งคุณอนุทินใช้เวลาเพียง 3 ปีก็สามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นวิกฤต จนผงาดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปลอดหนี้สิน และเต็มเปี่ยมไปด้วยสภาพคล่องทางการเงินได้

คุณอนุทินแนะนำเคล็ดลับการบริหารธุรกิจว่า ก่อนอื่นเราต้องทราบว่าตัวเองอยากทำอะไร จากนั้นเมื่อลงมือทำแล้วก็ให้สนุกกับสิ่งที่ทำ และทำความเข้าใจในธุรกิจของตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อเผชิญกับอุปสรรคแล้วก็อย่าวิ่งหนี แต่ให้พุ่งเข้าหา เพราะปัญหาคือ “ยาชูกำลัง" หากไม่มีปัญหาก็จะไม่รู้ว่าอะไรผิดหรืออะไรถูก สำหรับเป้าหมายในช่วงที่เหลือของปี 2560 นั้น คุณอนุทินแนะนำว่า อย่าตั้งเป้าหมายผิดพลาดหรือเดินสวนกับกระแสของตลาด สำหรับธุรกิจก่อสร้างที่ต้องประมูลงานล่วงหน้าเป็นเวลาหลายปีนั้น ให้มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทำธุรกิจ เนื่องจากรัฐบาลยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาอีกครั้ง และหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลก็คือการผลักดันโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจก่อสร้าง ถึงแม้ว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะอยู่ในบรรยากาศที่เศร้าโศก แต่เมื่อเรามองว่าเราอยู่ในจุดที่ต่ำสุดแล้ว ต่อไปก็มีแต่จะดีขึ้นไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีก และเมื่อความเชื่อมั่นกลับมาก็จะเป็นปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีเพื่อต่อยอดทางธุรกิจได้ นอกจากนี้คุณอนุทินยังแนะนำให้บริหารธุรกิจบนความพอเพียง และระมัดระวังอย่าทำอะไรที่เกินตัว

ส่วนทิศทางหรือเป้าหมายในปี 2560 นั้น คุณอนุทินเชื่อว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่สดใสสำหรับประเทศไทย เนื่องจากสถานการณ์ความคลุมเครือจะเริ่มจางหาย และความชัดเจนค่อยๆปรากฏขึ้น นอกจากนี้คุณอนุทินยังเชื่อว่า ถ้าเรามีต้นน้ำดี ปลายทางหรือเอาท์พุทก็ย่อมดีตามไปด้วย

*ซีอีโอยักษ์ค้าปลีก “บิ๊กซี" ชูโมเดลธุรกิจที่เป็นธรรม รุกขยายตลาดสู่อาเซียน

คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะของซีอีโอ ผู้กุมบังเหียนอาณาจักรค้าปลีกในไทยที่กำลังรุกขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้แทนจำหน่ายที่นำแบรนด์ไทยอย่าง “กระทิงแดง" ไปผงาดในตลาดต่างประเทศนั้น มีมุมมองในการบริหารงานระหว่างธุรกิจ BJC กับบิ๊กซีที่แตกต่างกัน โดย BJC เดิมเป็นเพียงฐานผลิตสินค้า มีโรงงานเป็นของตัวเอง แต่ไม่สามารถส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากบิ๊กซี แม้จะไม่มีโรงงานผลิต แต่เป็นช่องทางที่สามารถกระจายสินค้าสู่มือของผู้บริโภคได้โดยตรง ดังนั้นจึงสามารถสื่อสารกับผู้บริโภค อีกทั้งยังนำเสียงตอบรับในด้านของคุณภาพสินค้าและบริการ ไปพัฒนาต่อยอดได้ ส่วนความท้าทายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้นั้น คุณอัศวิน กล่าวว่า หลังจากที่บริษัท BJC เข้าถือหุ้นใหญ่บีกซีแล้ว จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อสร้างหลักประกันให้บริษัทคู่ค้าและลูกค้าของบิ๊กซีเชื่อมั่นว่า บิ๊กซีจะดำเนินธุรกิจที่เป็นธรรม โดยจะไม่กีดกันการค้ากับคู่ค้ารายอื่นหรือเอื้อประโยชน์ให้กับผลิตภัณฑ์ของ BJC ทั้งนี้โดยมุ่งหวังให้คู่ค้าเติบโตไปพร้อมกับบิ๊กซีด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งหวังที่จะเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค โดยชูกลยุทธ์ด้านราคา คุณภาพของสินค้า และทางเลือกของสินค้าที่มีความหลากหลาย

ความท้าทายอีกประการก็คือ การสื่อสารให้ทีมงานเชื่อมั่นในนโยบายและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายกระจายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพไปยังกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภค 300 ล้านคนในภูมิภาคอาเซียน

ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องสื่อสารกับพนักงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับบุคลากรในองค์กร โดยเฉพาะการบริหารทรัพยากรบุคคลของทั้งสองบริษัทด้วยนโยบายที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้พนักงานเป็นกำลังขับเคลื่อนและสามารถนำพาทั้งสองบริษัทสู่เป้าหมายความสำเร็จอย่างเป็นเอกภาพได้

สำหรับเป้าหมายในปี 2560 นั้น คุณอัศวินได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือการทำธุรกิจโดยไม่ประมาท มีสติ และบริหารความเสี่ยงอย่างถูกต้อง ส่วนเป้าหมายในปีหน้าคือการเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายในตลาดภูมิภาคอาเซียน จากเดิมบริษัทมีธุรกิจอยู่ในเวียดนามราว 100 แห่ง และในลาวอีก 50 แห่ง แต่ยังต้องการจะรุกตลาดในกัมพูชาและมาเลเซียต่อไป โดยบริษัทวางเป้าหมายที่จะเป็นกลไกกระจายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน และเป็นที่พึ่งของชุมชน

*ทิศทางธุรกิจปี 2560 ยังสดใส เน้นทำธุรกิจเชิงรุกและรับอย่างมีสติ

วิทยากรผู้มากด้วยประสบการณ์ทั้ง 4 ท่านต่างมองทิศทางของธุรกิจไทยในปี 2560 ว่า ยังมีแนวโน้มที่สดใส เนื่องจากประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมหาศาลกลับเข้ามาในประเทศได้อีกครั้งหลังจากที่ความคลุมเครือได้หมดไป แต่สิ่งสำคัญคือการทำธุรกิจบนความพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และจงตั้งสติ อย่าได้ประมาทไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจเชิงรุกหรือรับ นอกจากนี้ ผู้บริหารทั้ง 4 ท่านยังแนะนำให้มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรในองค์กร เพื่อเป้าหมายในการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ