เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของออสเตรเลียยอมรับว่ารัฐบาลกลางควรดำเนินการให้มากกว่านี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานดูแลผู้สูงอายุ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นับจนถึงวันพุธที่ผ่านมา (30 ก.ย.) จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในออสเตรเลียรวมอยู่ที่ 886 ราย เพิ่มขึ้นจาก 882 รายในวันอังคาร (29 ก.ย.) โดยผู้เสียชีวิตรายใหม่ทั้งหมดอยู่ในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งเป็นรัฐที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หนักที่สุดของประเทศ
โดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของรัฐวิกตอเรียแถลงเมื่อวันพุธว่า จำนวนผู้ป่วยยืนยันผลในออสเตรเลียสะสมอยู่ที่ 27,078 ราย หลังจากตรวจพบผู้ป่วยใหม่ 17 ราย โดยอยู่ในรัฐวิกตอเรีย 13 ราย และในรัฐนิวเซาธ์เวลส์อีก 4 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วย 4 รายจากทั้งหมด 13 รายที่ยืนยันผล เชื่อมโยงกับวงจรการระบาดที่ทราบกันดีอยู่แล้วหรือการติดเชื้อแบบซับซ้อน ส่วนอีก 9 รายยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
กระทรวงรายงานด้วยว่า ผู้เสียชีวิต 2 รายจากทั้งหมด 4 รายเมื่อวันที่ 30 ก.ย. เชื่อมโยงกับการระบาดในสถานดูแลผู้สูงอายุ โดยจนถึงขณะนี้รัฐวิกตอเรียมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แล้ว 798 ราย
ด้านหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานว่าเมื่อวันอังคารว่า นายเบรนแดน เมอร์ฟี เลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและอดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ชี้แจงต่อวุฒิสภาว่า การเสียชีวิตเนื่องจากโรคโควิด-19 ของผู้สูงอายุกว่า 600 รายในสถานดูแลบางเคสนั้นสามารถป้องกันได้
นายเมอร์ฟีกล่าวว่าศูนย์ประสานงานดูแลผู้สูงอายุแห่งรัฐวิกตอเรีย ซึ่งรัฐบาลจัดตั้งขึ้นเมื่อปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ควรจะเปิดใช้งานให้เร็วกว่านี้ เพื่อประสานงานและเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์โรคโควิด -19 ในสถานดูแลผู้สูงอายุ
"หากมีการตอบสนองด้านสาธารณสุขที่รวดเร็วกว่านี้ เราอาจหลีกเลี่ยงการระบาดในรัฐวิกตอเรียได้บางส่วน" นายเมอร์ฟีกล่าว
"อย่างที่เราเคยกล่าวไปหลายครั้งแล้วว่า เมื่อมีการระบาดในชุมชนหรือการระบาดในสถานดูแลผู้สูงอายุเป็นวงกว้าง โอกาสที่จะนำไปสู่การเสียชีวิต โดยเฉพาะคนที่อ่อนแอและอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้"
นายเมอร์ฟีกล่าวปิดท้ายว่า "แต่ผมมองว่า หากเราทำความเข้าใจกับปัญหาและประสานกับศูนย์ประสานงาน เราอาจป้องกันการแพร่กระจายบางส่วนได้"