สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจจากสำนักวิชานโยบายสาธารณะแฮร์ริส มหาวิทยาลัยชิคาโกของสหรัฐ พบว่า 78% ของชาวอเมริกันเชื่อว่านโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ขณะที่ 56% คิดว่านโยบายเหล่านั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ผลสำรวจระบุว่า 78% ของชาวอเมริกันยังมองด้วยว่า สหรัฐควรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด มากกว่าที่จะเป็นองค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และจีน ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 57%, 55% และ 51% ตามลำดับ
นอกจากนี้ 57% ของชาวอเมริกันประสงค์จะรับวัคซีนเมื่อพร้อมใช้งานแล้ว ขณะที่ 46% ระบุว่าจะไม่รับวัคซีน หากวัคซีนไม่ได้ถูกพัฒนาในสหรัฐ
ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนจุดแตกต่างทางความคิดเห็นเกี่ยวกับการควานหาตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบสถานการณ์โรคโควิด-19 ในสหรัฐ รวมถึงการพัฒนาและการจัดจำหน่ายวัคซีน
ขณะเดียวกัน 55% ของชาวอเมริกันที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันกล่าวโทษองค์การอนามัยโลก ซึ่งสูงกว่า 28% ของฝ่ายที่ไม่สนับสนุนพรรคใด และ 27% ของฝ่ายสนับสนุนพรรคเดโมแครต
39% ของชาวอเมริกันที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันต้องการให้องค์การอนามัยโลกมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัคซีน ซึ่งต่ำกว่า 59% ของฝ่ายที่ไม่สนับสนุนพรรคใด และ 75% ของฝ่ายสนับสนุนพรรคเดโมแครต
ผลสำรวจพบว่า 58% ของชาวอเมริกัน รวมถึง 79% ของฝ่ายสนับสนุนรีพับลิกัน ระบุว่า สหรัฐควรเก็บวัคซีนไว้แต่เพียงผู้เดียว แม้ประเทศอื่นจะได้รับวัคซีนน้อยลงก็ตาม ขณะที่อีก 39% ระบุว่า วัคซีนควรพร้อมใช้งานในประเทศอื่นโดยทันที
อย่างไรก็ดี ประชาชนฝ่ายสนับสนุนพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มจะรับวัคซีนน้อยกว่าฝ่ายสนับสนุนพรรคเดโมแครต ไม่ว่าวัคซีนนั้นจะถูกพัฒนาขึ้นในสหรัฐหรือไม่ โดยมีอัตราส่วนอยู่ที่ 42% และ 70% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,053 คน ซึ่งร่วมจัดทำโดยสำนักวิชานโยบายสาธารณะแฮร์ริส และศูนย์วิจัยกิจการสาธารณะ เอพี-เอ็นโออาร์ซี (AP-NORC) ในระหว่างวันที่ 11-14 ก.ย. 2563 และถูกเผยแพร่ก่อนมีการประชุมเพียร์สัน โกลบอล ฟอรัม 2020 ทางออนไลน์เมื่อวันที่ 6-8 ต.ค. ซึ่งมีนักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายเข้าร่วมหารือการพัฒนากลยุทธ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ