สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า ข้อตกลงซื้อขายวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ระดับทวิภาคีระหว่างนานาประเทศและกลุ่มบริษัทผู้ผลิต ได้ส่งผลเสียต่อ โคแวกซ์ (COVAX) ซึ่งเป็นโครงการจัดหาวัคซีนระดับโลกของ WHO ที่มุ่งให้ประชาชนทั่วโลกเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียม
"ปัจจุบันมีการลงนามข้อตกลงวัคซีนระดับทวิภาคีอย่างน้อย 56 ฉบับ ซึ่งสร้างความแตกแยกในตลาด บีบบังคับให้แต่ละประเทศต้องแข่งขันกัน รวมถึงทำให้วัคซีนมีราคาสูงขึ้น" นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO ระบุ
"วัคซีนชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ทำลายตัวเองและไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศยากจนและเปราะบางที่สุดตกอยู่ในอันตราย" ทีโดรสกล่าว พร้อมเสริมว่า "การอุบัติของเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่ระบาดได้เร็ว ยิ่งทำให้การฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมมีความสำคัญมากขึ้น"
นายทีโดรสระบุว่าในบรรดา 50 ประเทศที่เริ่มฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 แล้ว เป็นประเทศร่ำรวยเกือบทั้งหมด และร้อยละ 75 ของวัคซีนทั้งหมดถูกจัดส่งไปยัง 10 ประเทศเท่านั้น
"รัฐบาลแต่ละประเทศต้องการฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์และคนชราก่อน นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องคือผู้ใหญ่อายุน้อยที่สุขภาพดีในประเทศร่ำรวยกลับได้รับวัคซีนก่อนบุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงวัยในประเทศยากจน"
"สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ผลิตวัคซีนส่วนมากให้ความสำคัญกับการยื่นขออนุมัติวัคซีนในประเทศร่ำรวยและทำกำไรได้สูงสุดก่อน แทนที่จะยื่นขออนุมัติต่อ WHO" นายทีโดรสกล่าว "พูดตรงๆ คือมีหลายประเทศซื้อวัคซีนในปริมาณที่ มากกว่าความจำเป็น"
นอกจากนี้ นายทีโดรสยังเรียกร้องให้กลุ่มผู้ผลิตวัคซีนที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณภาพระดับนานาชาติ ให้ความสำคัญกับการยื่นขออนุมัติวัคซีนเพื่อการใช้งานฉุกเฉินกับ WHO ก่อน โดยเน้นย้ำว่าโคแวกซ์ต้องการ "วัคซีนเพิ่มเติมโดยด่วน ไม่ใช่วัคซีนเหลือๆ จากอีกหลายเดือนข้างหน้า"
"ปี 2563 อาจเป็นปีแห่งความหวังใหม่ที่เราจะสามารถก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบากจากโรคระบาดใหญ่ แต่เราจะไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยหากทุกประเทศไม่ร่วมมือกัน ความสามัคคีทั่วโลกเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราเดินต่อไปข้างหน้าได้" นายทีโดรสระบุ