สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลเกาหลีใต้มีคำสั่งยกฟ้องคำร้องของเหยื่อทาสทางเพศชาวเกาหลีใต้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อวานนี้ ซึ่งเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกับคำตัดสินของศาลเดียวกันเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า
ผู้พิพากษาศาลแขวงกลางกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ ยกฟ้องคดีที่เหยื่อทาสทางเพศ ซึ่งถูกเรียกขานว่า "หญิงบำเรอ" และครอบครัวของเหยื่อที่เสียชีวิต 20 รายได้ยื่นคำร้อง โดยอ้างถึงหลักคุ้มกันอธิปไตย (sovereign immunity) ที่ปกป้องรัฐจากคดีแพ่งในศาลต่างประเทศ
ศาลชี้ว่า การยอมรับข้อยกเว้นหลักคุ้มกันอธิปไตยอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทูตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยกล่าวว่า ข้อตกลงปี 2558 ซึ่งจัดทำโดยฝ่ายเกาหลีใต้และญี่ปุ่นนั้นเป็นไปตามข้อกำหนดทางการทูต แม้กระบวนการเจรจาดังกล่าวจะไม่ได้รวบรวมความคิดเห็นจากเหยื่อก็ตาม
อนึ่ง เกาหลีใต้และญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงในเดือนธันวาคม 2558 เพื่อยุติความขัดแย้ง "ขั้นสุดท้ายและไม่เปลี่ยนแปลง" กรณีผู้หญิงเกาหลีที่ถูกบังคับเป็นทาสทางเพศในซ่องทหารของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลีในปี 2453-2488
ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นมอบทุนสนับสนุนการจัดตั้งมูลนิธิสำหรับหญิงบำเรอในกรุงโซลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 แต่ก็ต้องปิดตัวลงในอีก 3 ปีต่อมา ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากเหยื่อและนักเคลื่อนไหวที่เรียกร้องคำขอโทษอย่างจริงใจ และความรับผิดชอบทางกฎหมายจากรัฐบาลญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี คำตัดสินครั้งนี้ตรงข้ามกับคำตัดสินของผู้พิพากษาอีกคนจากศาลเดียวกันในเดือนม.ค.อย่างสิ้นเชิง ซึ่งสั่งให้รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทย์ 12 คนรายละ 100 ล้านวอน (ประมาณ 2.74 ล้านบาท)
ทั้งนี้ บรรดานักประวัติศาสตร์เปิดเผยว่า มีผู้หญิงเอเชียราว 4 แสนคน โดยส่วนใหญ่มาจากจีนและคาบสมุทรเกาหลี ถูกบีบบังคับให้เป็นทาสทางเพศในซ่องทหารของญี่ปุ่นในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง