อินโดนีเซียเริ่มบังคับใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อจำกัดกิจกรรมระดับชุมชน (PPKM) ที่จังหวัดชวาและจังหวัดบาหลีเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 20 ก.ค. เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากพบว่านโยบายดังกล่าวที่เคยบังคับใช้ก่อนหน้านี้มีประสิทธิภาพ
จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราที่น่ากังวล โดยเมื่อวันที่ 3 ก.ค. กระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียรายงานการตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 27,913 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมง ถือเป็นยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงสุด ทำให้อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อสะสม 2,256,851 ราย
ส่วนเมื่อวันที่ 1 ก.ค. นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ระบุว่านโยบายดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งประเทศ โดยสถานการณ์โรคระบาดในขณะนี้จำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการที่เด็ดขาดมากขึ้น
นายวิโดโดกล่าวว่า การบังคับใช้นโยบายในครั้งนี้จะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการเพื่อจำกัดกิจกรรมระดับชุมชนมากกว่าครั้งก่อน โดยรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมโรคระบาดควบคู่กับการบังคับใช้ข้อจำกัดพีพีเคเอ็ม
ทางด้านกระทรวงการคลังของอินโดนีเซียได้เพิ่มงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพเป็น 185.9 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 4.13 แสนล้านบาท) โดยเมื่อวันที่ 2 ก.ค. นางศรี มุลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแถลงว่า ระบบดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับชาติ ขณะที่การระดมฉีดวัคซีน การตรวจและรักษาโรคเป็นปัจจัยที่ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่จำเป็นมากขึ้น"
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ 53,000 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยระหว่างการบังคับใช้มาตรการพีพีเคเอ็มด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายลูฮุท บินซาร์ ปันด์จัยตัน รัฐมนตรีกระทรวงประสานงาน กิจการทางทะเล และการลงทุนของอินโดนีเซียแถลงเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ว่า รัฐบาลจะดำเนินการลงโทษผู้ละเมิดมาตรการทางสาธารณสุขทุกคน
ทั้งนี้ หากนับถึงวันที่ 3 ก.ค. รัฐบาลอินโดนีเซียได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รวมทั้งสิ้น 119,726,800 โดสจากผู้ผลิตวัคซีนต่างชาติหลายราย และคาดว่าจะได้รับวัคซีนเพิ่มอีกเร็วๆ นี้