สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ร่วมกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยมิสซูรี และมหาวิทยาลัยสวอนซี ได้ทบทวนการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ดำเนินการระหว่างปี 2524-2565 อย่างเป็นระบบ
เมื่อวันศุกร์ (2 ธ.ค.) มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิแถลงข่าวว่าคณะนักวิจัยได้ทบทวนบทความวิจัยที่จัดทำก่อนหน้านี้รวมทั้งสิ้น 2,400 บทความ โดยการศึกษาในบทความเหล่านี้ครอบคลุมประชาชนเกือบ 400,000 คนจากหลายพื้นที่ทั่วโลก
คณะนักวิจัยได้ข้อสรุปว่าการสวมหน้ากากอนามัยช่วยลดการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการรักษาความสะอาดของมืออย่างเหมาะสม
ฮันนา ออลลิลา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ กล่าวว่าผลการศึกษาสนับสนุนฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับประโยชน์ของหน้ากากอนามัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และโรคที่แพร่กระจายทางอากาศอื่นๆ
ทั้งนี้ การศึกษาข้างต้นได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์พีแอลโอเอส วัน (PLOS ONE) ฉบับล่าสุด และได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันแห่งฟินแลนด์ (Academy of Finland)