พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 426)
พ.ศ. 2547
--------------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2547
เป็นปีที่ 59 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้ของบริษัทบางกรณี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 และมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 426) พ.ศ. 2547"
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสิบของกำไรสุทธิ ให้แก่บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉพาะเพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร สำหรับรายได้จากการประกอบธุรกรรมการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสองพันล้านบาทต่อปีในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การซื้อและการขายน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(2) การซื้อและการขายน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่นอกราชอาณาจักร และไม่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักร
ทั้งนี้ ให้รวมถึงรายได้จากการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีดังกล่าวตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วย
มาตรา 4 ผู้ได้รับใบอนุญาตที่จะได้รับสิทธิตามมาตรา 3 ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป
(2) มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในประเทศไทยไม่น้อยกว่าห้าล้านบาทต่อปีตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
(3) ได้จดแจ้งการเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพลังงานต่อกรมสรรพากรตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
มาตรา 5 การลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 3 ให้ใช้บังคับแก่กำไรสุทธิของบริษัทที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป
มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพลังงานให้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เพื่อส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกรรมซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 426)
พ.ศ. 2547
--------------------------
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2547
เป็นปีที่ 59 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้ของบริษัทบางกรณี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 และมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 426) พ.ศ. 2547"
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสิบของกำไรสุทธิ ให้แก่บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉพาะเพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร สำหรับรายได้จากการประกอบธุรกรรมการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่าสองพันล้านบาทต่อปีในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การซื้อและการขายน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(2) การซื้อและการขายน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่นอกราชอาณาจักร และไม่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักร
ทั้งนี้ ให้รวมถึงรายได้จากการซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีดังกล่าวตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้วย
มาตรา 4 ผู้ได้รับใบอนุญาตที่จะได้รับสิทธิตามมาตรา 3 ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป
(2) มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในประเทศไทยไม่น้อยกว่าห้าล้านบาทต่อปีตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
(3) ได้จดแจ้งการเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพลังงานต่อกรมสรรพากรตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
มาตรา 5 การลดอัตราภาษีเงินได้ตามมาตรา 3 ให้ใช้บังคับแก่กำไรสุทธิของบริษัทที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป
มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพลังงานให้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเพื่อการนำเข้าและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในเขตปลอดอากร หรือระหว่างเขตปลอดอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร เพื่อส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกรรมซื้อและขายน้ำมันเชื้อเพลิง จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้