คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ที่ 19/2533
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเลือกเสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร
-------------------------------
ด้วยกรมสรรพากรได้ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร วินิจฉัยว่า กรณีผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรฯลฯ ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา 50 (2) (ก) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากรนั้น หากผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น โดยนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น และได้เสียภาษีเงินได้ไว้แล้วภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปตาม มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่ โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ดังนี้ ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและได้มีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่ 24/2533 วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ว่า บทบัญญัติมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้นั้น ก็โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ดังกล่าว ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ดังกล่าวสูงกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พิจารณาเห็นว่ามีภาระภาษีที่ต้องเสียสำหรับปีภาษีนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ผู้มีเงินได้ก็มีสิทธินำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น เพื่อขอรับเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ไว้นั้นคืนได้ นอกจากนั้น การใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาการใช้สิทธิหรือห้ามการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิ และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป ผู้มีเงินได้ก็สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้ถูกต้องโดยการชำระภาษีเพิ่มเติม หรือขอภาษีคืนแล้วแต่กรณี ดังนั้นกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น โดยนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ อันทำให้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกว่าการไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นนั้น จึงเป็นการกระทำโดยสำคัญผิด เมื่อผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น จึงเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะพึงได้แต่อย่างใด
คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับกรณีที่กรมสรรพากรได้วินิจฉัยสั่งการไปแล้ว
สั่ง ณ วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533
พนัส สิมะเสถียร
(นายพนัส สิมะเสถียร)
ปลัดกระทรวงการคลัง
ประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ที่ 19/2533
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเลือกเสียภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร
-------------------------------
ด้วยกรมสรรพากรได้ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร วินิจฉัยว่า กรณีผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรฯลฯ ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา 50 (2) (ก) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้ตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากรนั้น หากผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น โดยนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น และได้เสียภาษีเงินได้ไว้แล้วภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปตาม มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่ โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น ดังนี้ ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและได้มีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่ 24/2533 วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ว่า บทบัญญัติมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ฯลฯ มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นก็ได้นั้น ก็โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ดังกล่าว ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ดังกล่าวสูงกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พิจารณาเห็นว่ามีภาระภาษีที่ต้องเสียสำหรับปีภาษีนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ผู้มีเงินได้ก็มีสิทธินำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น เพื่อขอรับเงินภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ไว้นั้นคืนได้ นอกจากนั้น การใช้สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาการใช้สิทธิหรือห้ามการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิ และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาด ทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป ผู้มีเงินได้ก็สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้ถูกต้องโดยการชำระภาษีเพิ่มเติม หรือขอภาษีคืนแล้วแต่กรณี ดังนั้นกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น โดยนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้ อันทำให้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกว่าการไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นนั้น จึงเป็นการกระทำโดยสำคัญผิด เมื่อผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น จึงเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะพึงได้แต่อย่างใด
คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับกรณีที่กรมสรรพากรได้วินิจฉัยสั่งการไปแล้ว
สั่ง ณ วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533
พนัส สิมะเสถียร
(นายพนัส สิมะเสถียร)
ปลัดกระทรวงการคลัง
ประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร