กฎกระทรวง
ฉบับที่ 224 (พ.ศ.2542)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
_____________________
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2513 และมาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (52) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 217 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น
รัษฎากร
"(52) เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยโดยจำนองอาคาร
ที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะที่จ่ายให้แก่
(ก) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์
(ข) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อาคารตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงอาคารพร้อมที่ดินด้วย"
ข้อ 2 กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2542
พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้หักค่า
ลดหย่อนสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ
เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยโดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้นได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ต่อมา
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินและกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินได้เข้ารับช่วงสิทธิเป็น
เจ้าหนี้เงินกู้แทนสถาบันการเงินโดยลูกหนี้จะต้องผ่อนชำระให้แก่กองทุนรวมดังกล่าวต่อไป แต่เนื่องจากกองทุนรวมไม่มีฐานะเป็นธนาคารหรือ
สถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง ตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร จึงทำให้ลูกหนี้ดังกล่าวไม่อาจนำ
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จ่ายให้แก่กองทุนรวมทั้งสองไปหักค่าลดหย่อนได้อีกต่อไป ดังนั้น เพื่อให้ผู้มีเงินได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดิม สมควร
กำหนดให้เงินได้เท่าจำนวนที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่กองทุนรวมดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
--ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 137 ก--
ฉบับที่ 224 (พ.ศ.2542)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
_____________________
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2513 และมาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (52) ของข้อ 2 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 217 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น
รัษฎากร
"(52) เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยโดยจำนองอาคาร
ที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะที่จ่ายให้แก่
(ก) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์
(ข) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
อาคารตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงอาคารพร้อมที่ดินด้วย"
ข้อ 2 กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป
ให้ไว้ ณ วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2542
พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ ปฏิบัติราชการแทน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้หักค่า
ลดหย่อนสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ
เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยโดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้นได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10,000 บาท ต่อมา
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินและกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินได้เข้ารับช่วงสิทธิเป็น
เจ้าหนี้เงินกู้แทนสถาบันการเงินโดยลูกหนี้จะต้องผ่อนชำระให้แก่กองทุนรวมดังกล่าวต่อไป แต่เนื่องจากกองทุนรวมไม่มีฐานะเป็นธนาคารหรือ
สถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง ตามมาตรา 47 (1) (ซ) แห่งประมวลรัษฎากร จึงทำให้ลูกหนี้ดังกล่าวไม่อาจนำ
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่จ่ายให้แก่กองทุนรวมทั้งสองไปหักค่าลดหย่อนได้อีกต่อไป ดังนั้น เพื่อให้ผู้มีเงินได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดิม สมควร
กำหนดให้เงินได้เท่าจำนวนที่ได้จ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมให้แก่กองทุนรวมดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินที่ไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
--ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 137 ก--