คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ที่ 20/2533
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียน กองทุนรวมหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรมพาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
--------------------------------
ด้วยกรมสรรพากรได้ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร วินิจฉัยว่า กรณีที่บทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 180) พ.ศ. 2529 บัญญัติว่า
"มาตรา 4 ผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทจดทะเบียน กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นไป ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือในกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่ยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (2)แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน
ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามวรรคหนึ่ง เมื่อคำนวณภาษีรวมทั้งหมดแล้วให้หักไว้ไม่เกินร้อยละ 15.0 ของเงินได้" นั้น
เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการหากผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียนไม่ว่าบริษัทเดียวหรือหลายบริษัทยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้และนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น โดยนำภาษีเงินได้ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายมาเครดิตกับภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย และได้เสียภาษีเงินได้ไว้แล้วภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดไปดังนี้ ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและได้มีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่24/2533 วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ว่าเนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับจากบริษักองทุนรวมหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรมพาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 4แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 180) พ.ศ. 2529 นั้นเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยมีเงื่อนไขว่าเงินได้ดังกล่าวต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือผู้มีเงินได้ต้องยอมให้ผู้จ่ายหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่เกินกว่าร้อยละ 15.0ของเงินได้และเมื่อถึงกำหนดยื่นรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นผู้มีเงินได้จะต้องไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนทั้งนี้ก็โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ดังกล่าวที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหณ ที่จ่ายในกรณีที่ผู้มีเงินได้พิจารณาเห็นว่ามีภาระภาษีที่จะต้องเสียสำหรับปีภาษีนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหักณ ที่จ่ายผู้มีเงินได้ก็มีสิทธินำเงินได้ดังกล่าวทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นเพื่อขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือเพื่อขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นได้นอกจากนั้นการใช้สิทธิเพื่อให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาการใช้สิทธิหรือห้ามการแก้ไและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมผู้มีเงินได้ก็สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้ถูกต้องโดยการชำระภาษีเพิ่มเติมหรือขอภาษีคืน แล้วแต่กรณีได้อยู่แล้ว ดังนั้นกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นโดยนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นอันทำให้ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกวจึงเป็นการกระทำโดยสำคัญผิดเมื่อผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นจึงเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะพึงได้แต่อย่างใด
คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับกรณีที่กรมสรรพากรได้วินิจฉัยสั่งการไปแล้ว
สั่ง ณ วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533
พนัส สิมะเสถียร
(นายพนัส สิมะเสถียร)
ปลัดกระทรวงการคลังประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ที่ 20/2533
เรื่อง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียน กองทุนรวมหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรมพาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม
--------------------------------
ด้วยกรมสรรพากรได้ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร วินิจฉัยว่า กรณีที่บทบัญญัติมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 180) พ.ศ. 2529 บัญญัติว่า
"มาตรา 4 ผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทจดทะเบียน กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นไป ซึ่งได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือในกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่ยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (2)แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืน หรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน
ในการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามวรรคหนึ่ง เมื่อคำนวณภาษีรวมทั้งหมดแล้วให้หักไว้ไม่เกินร้อยละ 15.0 ของเงินได้" นั้น
เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการหากผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียนไม่ว่าบริษัทเดียวหรือหลายบริษัทยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้และนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น โดยนำภาษีเงินได้ที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายมาเครดิตกับภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย และได้เสียภาษีเงินได้ไว้แล้วภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดไปดังนี้ ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและได้มีคำวินิจฉัยในการประชุมครั้งที่24/2533 วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ว่าเนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ผู้มีเงินได้ซึ่งอยู่ในประเทศไทยได้รับจากบริษักองทุนรวมหรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรมพาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 4แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 180) พ.ศ. 2529 นั้นเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยมีเงื่อนไขว่าเงินได้ดังกล่าวต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือผู้มีเงินได้ต้องยอมให้ผู้จ่ายหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่เกินกว่าร้อยละ 15.0ของเงินได้และเมื่อถึงกำหนดยื่นรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นผู้มีเงินได้จะต้องไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนทั้งนี้ก็โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้ดังกล่าวที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหณ ที่จ่ายในกรณีที่ผู้มีเงินได้พิจารณาเห็นว่ามีภาระภาษีที่จะต้องเสียสำหรับปีภาษีนั้นน้อยกว่าจำนวนเงินภาษีที่ถูกหักณ ที่จ่ายผู้มีเงินได้ก็มีสิทธินำเงินได้ดังกล่าวทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นเพื่อขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือเพื่อขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นได้นอกจากนั้นการใช้สิทธิเพื่อให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดเวลาการใช้สิทธิหรือห้ามการแก้ไและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมผู้มีเงินได้ก็สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมให้ถูกต้องโดยการชำระภาษีเพิ่มเติมหรือขอภาษีคืน แล้วแต่กรณีได้อยู่แล้ว ดังนั้นกรณีที่ผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นโดยนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดทะเบียนไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นอันทำให้ผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงกวจึงเป็นการกระทำโดยสำคัญผิดเมื่อผู้มีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้นใหม่โดยไม่นำเงินได้ดังกล่าวทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นจึงเป็นกรณีที่ผู้มีเงินได้สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ที่จะพึงได้แต่อย่างใด
คำวินิจฉัยนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับกรณีที่กรมสรรพากรได้วินิจฉัยสั่งการไปแล้ว
สั่ง ณ วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533
พนัส สิมะเสถียร
(นายพนัส สิมะเสถียร)
ปลัดกระทรวงการคลังประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร