พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 364)
พ.ศ. 2542
___________________
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2542
เป็นปีที่ 54 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์และผู้ซื้อหลักทรัพย์บางกรณี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา
พระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 364) พ.ศ. 2542"
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2542 เป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชกฤษฎีกานี้
"กิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน" หมายความว่า กิจการที่มีการตกลงกันระหว่างผู้ขายหลักทรัพย์และ
ผู้ซื้อหลักทรัพย์ โดยผู้ขายหลักทรัพย์ตกลงที่จะขายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ โดยมีสัญญาว่าจะมีการซื้อคืนในอนาคต ในขณะเดียวกันผู้ซื้อ
หลักทรัพย์ตกลงที่จะซื้อหลักทรัพย์จากผู้ขายหลักทรัพย์ ในขณะเดียวกันผู้ซื้อหลักทรัพย์ตกลงที่จะซื้อหลักทรัพย์จากผู้ขายหลักทรัพย์ โดยมีสัญญา
ว่าจะขายคืนในอนาคต ตามกำหนดเวลาและในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากร
ประกาศกำหนด
"หลักทรัพย์" หมายความว่า หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
"เงินชดเชยเงินปันผล" หมายความว่า เงินที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะต้องจ่ายให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลของ
หลักทรัพย์ที่ได้ซื้อจากผู้ขายหลักทรัพย์และได้ถือครองไว้ก่อนที่จะขายคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์
"เงินชดเชยดอกเบี้ย" หมายความว่า เงินที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะต้องจ่ายให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์เนื่องจากมีการจ่ายดอกเบี้ยของ
หลักทรัพย์ที่ได้ซื้อจากผู้ขายหลักทรัพย์และได้ถือครองไว้ก่อนที่จะขายคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์
มาตรา 4 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการ
ซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน สำหรับเงินได้ที่เกิดจากการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
ในกรณีที่ผู้ขายหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและมิได้ประกอบ
กิจการในประเทศไทย หากได้รับเงินชดเชยเงินปันผลหรือเงินชดเชยดอกเบี้ยเนื่องจากการขายหลักทรัพย์ในการกระทำกิจการดังกล่าว ต้อง
ยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินชดเชยเงินปันผลที่ได้รับ หรือในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินชดเชย
ดอกเบี้ยที่ได้รรับ จึงจะได้รับยกเว้นภาษีตามความในวรรคหนึ่ง
มาตรา 5 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรสำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายไทย หรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่
(1) บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ได้ขายหลักทรัพย์ในกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืนและได้ซื้อคืน
หลักทรัพย์ที่ออกโดยนิติบุคคลเดียวกันหรือโครงการจัดการกองทุนรวมเดียวกัน ประเภท รุ่นและชนิดเดียวกัน ในจำนวนที่เทียบเท่ากับหลักทรัพย์
ที่ได้ขายไป เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ
(2) บริษัทตาม (1) ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของ
หุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทนั้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลหรือ
เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ
ทั้งนี้ บริษัทตาม (1) และ (2) ต้องเป็นผู้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 และได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผล
หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรไว้ไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นมาจนถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าวและยังคงถือหุ้นหรือหน่วยลงทุน
นั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ โดยให้นับระยะเวลาระหว่างที่ได้มีการขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนไปจนถึงวันที่ซื้อคืนหุ้นหรือหน่วย
ลงทุนนั้นรวมด้วย
มาตรา 6 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการซื้อหรือ
ขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืนสำหรับเงินได้และการโอนทรัพย์สินดังนี้
(1) เงินจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ผู้ขายหลักทรัพย์ได้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์เพื่อใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์นั้นโดย
ผ่านผู้ซื้อหลักทรัพย์
(2) การโอนหุ้นเพิ่มทุนคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ อันเนื่องมาจากผู้ขายหลักทรัพย์ได้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์
โดยผ่านผู้ซื้อหลักทรัพย์ตาม (1)
มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฎษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่การประกอบกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
เป็นธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการให้กู้ยืมเงิน แต่มีรูปแบบเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้เกิด
ความไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมซึ่งเป็นการกู้ยืมเงิน สมควรยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ภาระภาษี
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมอันจะเป็นการส่งเสริมตลาดเงินและตลาดทุนให้มีการขยายตัวในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้
การหมุนเวียนหลักทรัพย์ระหว่างผู้ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวและทำให้เกิดสภาพคล่องในตลาดเงินและตลาดทุนมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราช
กฤษฎีกานี้
--ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 138 ก--
ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 364)
พ.ศ. 2542
___________________
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2542
เป็นปีที่ 54 ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์และผู้ซื้อหลักทรัพย์บางกรณี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 221 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา
พระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 364) พ.ศ. 2542"
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2542 เป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชกฤษฎีกานี้
"กิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน" หมายความว่า กิจการที่มีการตกลงกันระหว่างผู้ขายหลักทรัพย์และ
ผู้ซื้อหลักทรัพย์ โดยผู้ขายหลักทรัพย์ตกลงที่จะขายหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ โดยมีสัญญาว่าจะมีการซื้อคืนในอนาคต ในขณะเดียวกันผู้ซื้อ
หลักทรัพย์ตกลงที่จะซื้อหลักทรัพย์จากผู้ขายหลักทรัพย์ ในขณะเดียวกันผู้ซื้อหลักทรัพย์ตกลงที่จะซื้อหลักทรัพย์จากผู้ขายหลักทรัพย์ โดยมีสัญญา
ว่าจะขายคืนในอนาคต ตามกำหนดเวลาและในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากร
ประกาศกำหนด
"หลักทรัพย์" หมายความว่า หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
"เงินชดเชยเงินปันผล" หมายความว่า เงินที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะต้องจ่ายให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลของ
หลักทรัพย์ที่ได้ซื้อจากผู้ขายหลักทรัพย์และได้ถือครองไว้ก่อนที่จะขายคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์
"เงินชดเชยดอกเบี้ย" หมายความว่า เงินที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะต้องจ่ายให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์เนื่องจากมีการจ่ายดอกเบี้ยของ
หลักทรัพย์ที่ได้ซื้อจากผู้ขายหลักทรัพย์และได้ถือครองไว้ก่อนที่จะขายคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์
มาตรา 4 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการ
ซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน สำหรับเงินได้ที่เกิดจากการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
ในกรณีที่ผู้ขายหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและมิได้ประกอบ
กิจการในประเทศไทย หากได้รับเงินชดเชยเงินปันผลหรือเงินชดเชยดอกเบี้ยเนื่องจากการขายหลักทรัพย์ในการกระทำกิจการดังกล่าว ต้อง
ยอมให้ผู้จ่ายเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินชดเชยเงินปันผลที่ได้รับ หรือในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินชดเชย
ดอกเบี้ยที่ได้รรับ จึงจะได้รับยกเว้นภาษีตามความในวรรคหนึ่ง
มาตรา 5 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรสำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้ง
ขึ้นตามกฎหมายไทย หรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกองทุนรวมที่จัดตั้งตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่
(1) บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยที่ได้ขายหลักทรัพย์ในกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืนและได้ซื้อคืน
หลักทรัพย์ที่ออกโดยนิติบุคคลเดียวกันหรือโครงการจัดการกองทุนรวมเดียวกัน ประเภท รุ่นและชนิดเดียวกัน ในจำนวนที่เทียบเท่ากับหลักทรัพย์
ที่ได้ขายไป เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ
(2) บริษัทตาม (1) ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหรือเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของ
หุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทนั้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม เป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลหรือ
เงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ
ทั้งนี้ บริษัทตาม (1) และ (2) ต้องเป็นผู้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 4 และได้ถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผล
หรือเงินส่วนแบ่งของกำไรไว้ไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นมาจนถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าวและยังคงถือหุ้นหรือหน่วยลงทุน
นั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ โดยให้นับระยะเวลาระหว่างที่ได้มีการขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนไปจนถึงวันที่ซื้อคืนหุ้นหรือหน่วย
ลงทุนนั้นรวมด้วย
มาตรา 6 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ที่กระทำกิจการซื้อหรือ
ขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืนสำหรับเงินได้และการโอนทรัพย์สินดังนี้
(1) เงินจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ผู้ขายหลักทรัพย์ได้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์เพื่อใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์นั้นโดย
ผ่านผู้ซื้อหลักทรัพย์
(2) การโอนหุ้นเพิ่มทุนคืนให้แก่ผู้ขายหลักทรัพย์ อันเนื่องมาจากผู้ขายหลักทรัพย์ได้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์
โดยผ่านผู้ซื้อหลักทรัพย์ตาม (1)
มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฎษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่การประกอบกิจการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาขายหรือซื้อคืน
เป็นธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการให้กู้ยืมเงิน แต่มีรูปแบบเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้เกิด
ความไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมซึ่งเป็นการกู้ยืมเงิน สมควรยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ภาระภาษี
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมอันจะเป็นการส่งเสริมตลาดเงินและตลาดทุนให้มีการขยายตัวในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้
การหมุนเวียนหลักทรัพย์ระหว่างผู้ที่ทำธุรกรรมดังกล่าวและทำให้เกิดสภาพคล่องในตลาดเงินและตลาดทุนมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราช
กฤษฎีกานี้
--ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 138 ก--