เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๒๒.๔๕ น. หลังจากเดินทางกลับจากกัมพูชามาถึงประเทศไทย นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีคนไทย ๗ คน ถูกจับในเขตกัมพูชาเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม สรุปสาระได้ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ได้ไปปฏิบัติภารกิจ ๒ ประการที่ประเทศกัมพูชา คือการเข้าพบหารือกับนายฮอร์ นำฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้แสดงหลักฐานคือวิดีโอคลิปเกี่ยวกับการเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชาของคนไทยทั้ง ๗ คน หลังจากนั้น ก็ได้นำคณะเดินทางไปเยี่ยมคนไทยทั้ง ๗ คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบริเวณกรุงพนมเปญ
๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญได้ดูแลคนไทยทั้ง ๗ คนอยู่อย่างใกล้ชิด มีการจัดหาทนายความชาวกัมพูชา รวมทั้งจัดล่ามประจำให้แล้ว ซึ่งรัฐมนตรีว่าการฯ เองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทนายดังกล่าวด้วย รวมทั้งมีการจัดหาเสื้อผ้า อาหารวันละสามมื้อ ยารักษาโรคและของใช้ประจำวันที่จำเป็นให้ คณะยังได้ช่วยให้คนไทยบางคนติดต่อโทรศัพท์พูดคุยกับครอบครัวและมิตรสหายในประเทศไทย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศและทางราชการไทยได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ที่จะดูแลและให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง ๗ อย่างครบถ้วน หากยังขาดเหลืออะไร สถานเอกอัครราชทูตฯ ก็จะดูแลอย่างต่อเนื่องทุกวันแม้ในช่วงวันหยุดปีใหม่ และตนเองก็จะติดตามอย่างใกล้ชิด โดยมีการประสานงานทางโทรศัพท์กับเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญได้ตลอดเวลา
๓. รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แจ้งให้คนไทยทั้ง ๗ คนทราบถึงผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ ๒ ฝ่ายว่า โดยสรุปฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งข้อหา ๒ ข้อหา คือ เข้าประเทศกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย และรุกล้ำเข้าไปในเขตพื้นที่ราชการของกัมพูชา ในประเด็นที่ว่ามีการรุกเข้าไปในประเทศกัมพูชาหรือไม่นั้น เป็นการยืนยันตรงกันระหว่างทางการไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะพิกัดความเคลื่อนไหวของคนไทยทั้ง ๗ คน ซึ่งฝ่ายไทยก็มีข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงของไทยเองที่ตรงกัน ขณะเดียวกัน ในช่วงเช้าวันที่ ๓๐ ธันวาคม เจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กับกรมแผนที่ทหาร ก็ได้ไปลงพื้นที่บริเวณใกล้จุดเกิดเหตุด้วย ยืนยันได้ว่าได้มีการรุกล้ำเข้าไปในเขตของกัมพูชาจริง โดยคนไทยทั้ง ๗ ได้เดินผ่านหมู่บ้านเลยลึกเข้าไปประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษ นอกจากนั้นวิดีโอคลิปที่ฝ่ายกัมพูชานำมาแสดงก็มีภาพการเคลื่อนไหวของคนไทย ๗ คนดังกล่าว และภาพจุดที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชา ซึ่งฝ่ายไทยก็จะตรวจสอบยืนยันซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจุดที่ถูกจับกุมนั้นอยู่ที่ใดแน่นอน ทั้งนี้ คนไทยทั้ง ๗ คนได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ตามที่คณะของรัฐมนตรีว่าการฯ ได้นำแผนที่ไปแสดง รวมทั้งได้ระบุพิกัดและความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนไทยในวันเกิดเหตุให้รับทราบด้วย
๔. ขณะนี้เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาลกัมพูชาแล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ขอร้องฝ่ายกัมพูชาไปแล้วก็คือ ขอให้ฝ่ายกัมพูชาช่วยเร่งกระบวนการให้มีข้อยุติได้โดยเร็วที่สุด กับได้ยืนยันไปว่า คนไทยทั้ง ๗ คนมิได้มีเจตนาร้ายใดๆ ไม่มีการเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือมีการติดอาวุธ และข้อกล่าวหาก็เป็นข้อหาด้านการเข้าเมืองผิดกฎหมายซึ่งไม่ร้ายแรง จึงได้แสดงความหวังและได้ฝากฝังไปว่า ขอให้ได้มีการปล่อยตัวในโอกาสแรก ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แจ้งฝ่ายกัมพูชาให้ทราบถึงความห่วงใยกังวลของฝ่ายไทยรวมทั้งญาติพี่น้องและประชาชนชาวไทยซึ่งกำลังรอฟังอยู่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็รับฟังด้วยดีและมีความเข้าอกเข้าใจกัน
๕. รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ย้ำกับฝ่ายกัมพูชาด้วยว่า หากกรณีดังกล่าวสามารถคลี่คลายได้โดยเร็วก็จะได้ไม่มีเรื่องที่เป็นปัญหาคาใจระหว่างกัน เนื่องจากประเทศทั้งสองยังมีเรื่องที่จะต้องร่วมมือกันต่อไปอีกมาก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในช่วง ๓-๔ เดือนหลังนี้ก็พัฒนาดีขึ้นจนเห็นประจักษ์ และทั้งสองฝ่ายก็ต้องการกระชับความสัมพันธ์ให้คืบหน้าต่อไป จึงไม่ต้องการให้กรณีนี้มาเป็นอุปสรรค ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาก็ตระหนักดีในเรื่องนี้
รัฐมนตรีว่าการฯ ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวนี้จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และได้ตอบคำถามของสื่อมวลชน ยืนยันว่าจะไม่มีการดำเนินมาตรการโต้ตอบ เช่นการปิดด่าน เพียงขอให้กระบวนการดำเนินไปจนแล้วเสร็จและมีการปล่อยตัวคนไทยทั้ง ๗ ตามครรลองของกัมพูชาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากโทษไม่ร้ายแรงอะไร
๖. การดำเนินการทั้งหมดนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เรียนนายกรัฐมนตรีทราบโดยตลอดแล้ว และมีการติดต่อรายงานหลายครั้งตลอดวัน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--