รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เวลา ๑๗.๓๐ น. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์จากกรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เกี่ยวกับผลการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
รัฐมนตรีว่าการฯ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ได้หารือกันในสองหัวข้อหลัก ได้แก่ กรณีสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศอื่น ๆ โดยในส่วนของสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ในภาพรวมไทยและกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะหาทางออกร่วมกันอย่างสันติวิธีและผ่านการเจรจา ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศสมาชิกอาเซียนอีก ๘ ประเทศ โดยอาเซียนจะทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกผ่านรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ทั้งนี้ ผลการประชุมในเรื่องนี้สามารถแบ่งเป็น ๒ ประเด็นหลัก ดังนี้
๑. ประเทศไทยและกัมพูชาให้คำมั่นต่อกันและต่ออาเซียนที่จะไม่ให้เกิดการปะทะกันอีก และเพื่อให้ความมั่นใจต่อกัน ต่ออาเซียน และประชาคมโลก ทั้งสองประเทศจะเชิญให้รัฐบาลอินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์ไปในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ฝั่งละ ๑๕ คน โดยกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียจะได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ของผู้สังเกตการณ์ต่อไป ซึ่งก็คงจะนำประสบการณ์ที่ผ่านมาในการส่งคณะผู้สังเกตการณ์ของไทยไปยังจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย และการที่ไทยได้เข้าร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออกมาประกอบการพิจารณา
๒. ประเทศไทยกับกัมพูชาเห็นพ้องกันให้การเจรจาทวิภาคีดำเนินต่อไป โดยเฉพาะกลไกของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งเป็นการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยกับของกัมพูชา ซึ่งอินโดนีเซียจะได้เข้ามามีบทบาทในการอำนวยความสะดวกและมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเชิญให้ไทยและกัมพูชาไปประชุมกันที่ประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่ประชุมฯ ได้หารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยยืนยันที่จะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือกันทางด้านกงสุลแก่คนชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะแรงงานไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ที่อยู่ในประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งกำลังมีการประท้วงและมีเหตุการณ์ปะทะกันอยู่ โดยเป็นในลักษณะเดียวกับที่เคยดำเนินการเมื่อครั้งมีการโยกย้ายนักศึกษาไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ออกจากประเทศอียิปต์เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับการเตรียมการต่าง ๆ ของอาเซียน อาทิ การเตรียมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit —EAS) การพบปะกับเลขาธิการสหประชาชาติในช่วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ การประสานงานเกี่ยวกับการพบปะกับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและประเทศภาคพื้นแปซิฟิกต่าง ๆ ตลอดจนการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งรัฐบาลแต่ละประเทศจะเชิญผู้แทนภาคประชาสังคม (civil society) และผู้แทนองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ (NGOs) ในประเทศของตนเข้าร่วมการประชุมในหัวข้อเรื่องที่จะกำหนดขึ้น เพื่อให้มีเป้าหมายชัดเจน เช่น ด้านสาธารณสุข การศึกษา เป็นต้น เพื่อให้ผู้แทนดังกล่าวมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำประเทศอาเซียน
ต่อข้อซักถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดของการส่งผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียไปในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น รัฐมนตรีว่าการฯ กล่าวว่า ผู้สังเกตการณ์จะเป็นผู้แทนจากฝ่ายทหาร เพื่อมาสังเกตการณ์ให้เป็นไปตามคำมั่นที่จะไม่ให้มีการปะทะกันเป็นไปอย่างเรียบร้อย ซึ่งในส่วนของฝ่ายไทย รัฐมนตรีว่าการฯ จะได้หารือรายละเอียดกับกระทรวงกลาโหมต่อไป โดยจะนำเอาประสบการณ์ของไทยมาประกอบการพิจารณาข้อเสนอของฝ่ายอินโดนีเซียด้วย ส่วนคณะผู้สังเกตการณ์จะเดินทางมาเมื่อใดนั้น คงจะให้มาโดยเร็วที่สุด สำหรับการลงนามความตกลงหยุดยิงระหว่างสองประเทศนั้น ไม่มีความจำเป็น เพราะแนวทางการดำเนินการต่อไปปรากฏอยู่ในคำแถลงของประธานอาเซียนที่ได้มีการประกาศไปแล้ว
รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ด้วยว่า ประเทศไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันจะผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดำเนินการ ส่วนจะกำหนดเป็นวันไหนนั้น ก็จะมีการติดต่อประสานกัน และโดยที่การประชุมอาจจัดขึ้นที่อินโดนีเซีย ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของฝ่ายอินโดนีเซียด้วย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--