ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายไทยในคดีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร

ข่าวต่างประเทศ Monday May 30, 2011 14:29 —กระทรวงการต่างประเทศ

เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคณะที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายไทยสำหรับกรณีที่กัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ ว่า คณะที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศของไทยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศเป็นอย่างดี อีกทั้งมีประสบการณ์ในการว่าความคดีในศาลโลกมาแล้วหลายคดี ในชั้นนี้ คณะที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศของไทยประกอบด้วยศาสตราจารย์เจมส์ ครอว์ฟอร์ด (James Crawford) ศาสตราจารย์โดนัลด์ เอ็ม แม็คเรย์ (Donald M. McRae) และศาสตราจารย์อลัง เปลเล่ต์ (Alain Pellet) ซึ่งรัฐบาลไทยเห็นชอบให้บุคคลดังกล่าวเป็นที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศสำหรับต่อสู้คดีในศาลโลก โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและความสามารถที่โดดเด่นเหล่านี้เป็นหลัก รวมถึงความยอมรับในระดับระหว่างประเทศด้วย

สำหรับประวัติโดยสังเขปนั้น ศาสตราจารย์ครอว์ฟอร์ด สัญชาติออสเตรเลีย ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สอนกฎหมายระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศสหราชอาณาจักร และเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยกฎหมายระหว่างประเทศเลาเตอร์แพคท์ที่เคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร (Lauterpacht Research Centre for International Law) ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติเมื่อปี ๒๕๓๕ และเป็นผู้รับผิดชอบยกร่างธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ ปี ๒๕๔๗ และข้อบทของคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับความรับผิดแห่งรัฐ ปี ๒๕๔๔ ศาสตราจารย์ครอว์ฟอร์ดเป็นทนายที่มีประสบการณ์ว่าความในเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ มากที่สุดคนหนึ่งของโลก ทั้งในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ และศูนย์กลางระหว่างประเทศเพื่อระงับข้อพิพาทด้านการลงทุน (International Center for the Settlement of Investment Disputes — ICSID) รวมทั้งเป็นอนุญาโตตุลาการในคดีต่าง ๆ อีกหลายคดี และเคยเป็นทนายให้แก่มาเลเซียในคดีเกาะปูเลา บาตู ปูเตะห์ (Pulau Batu Puteh) เมื่อปี ๒๕๕๑ และคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือหมู่เกาะสิปาดันและลิติกัน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ครอว์ฟอร์ดยังเขียนตำรากฎหมายระหว่างประเทศหลายเล่มและดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการอาวุโสของหนังสือกฎหมายระหว่างประเทศประจำปีของสหราชอาณาจักร (British Yearbook of International Law) ด้วย

ในส่วนของศาสตราจารย์แม็คเรย์ สัญชาติแคนาดา/นิวซีแลนด์นั้น เป็นสมาชิกศาลประจำอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration — PCA) ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ และสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ นอกจากนี้ ยังเป็นทนายความของรัฐบาลนิวซีแลนด์ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งคดีต่าง ๆ ในองค์การการค้าโลก (WTO) ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน ที่ปรึกษาของรัฐบาลนิวซีแลนด์ด้านเขตทางทะเล ระหว่างปี ๒๕๔๓ — ๒๕๔๘ ที่ปรึกษาของแคนาดาในข้อพิพาทระหว่างแคนาดา-ฝรั่งเศสในคดีเขตแดนทางทะเลบริเวณหมู่เกาะแซงปีแยร์และมีเกอลง (St. Pierre and Miquelon Maritime Boundary) และเป็นทนายความให้สาธารณรัฐซูรินาเม (Suriname) ในคดีระหว่างกายอานากับซูรินาเม (Guyana v. Suriname) เมื่อปี ๒๕๔๙

สำหรับที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศอีกท่านหนึ่งคือ ศาสตราจารย์เปลเล่ต์ สัญชาติฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สอนกฎหมายระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปารีส (University Paris Ouest, Nanterre-La D?fense) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งได้รับเชิญเป็นศาสตราจารย์พิเศษสอนกฎหมายระหว่างประเทศในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งเคยได้รับเชิญมาร่วมบรรยายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี ๒๕๒๑ ด้วย นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เปลเล่ต์ยังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (International Law Commission) ตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ และเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เมื่อปี ๒๕๔๐ ถึง ๒๕๔๑ ขณะเดียวกัน ในด้านงานคดีความ ศาสตราจารย์ เปลเล่ต์ก็มีประสบการณ์ว่าความในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมากกว่า ๓๕ คดี เป็นที่ปรึกษากฎหมายและทนายให้แก่ประเทศต่าง ๆ กว่า ๒๐ ประเทศรวมถึงอินโดนีเซีย (คดีข้อพิพาทเกี่ยวกับกับอธิปไตยเหนือหมู่เกาะสิปาดัน (Sipadan) และลิกิตัน (Ligitan) ) และสิงคโปร์ (คดีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือเกาะเปดรา บลังกา (Pedra Blanca) อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายขององค์การการท่องเที่ยวโลกและเป็นผู้เขียนตำรากฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายเล่มด้วย

โฆษกกระทรวงฯ กล่าวเสริมด้วยว่า ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศทั้งสามคนได้ทำงานร่วมกับคณะทางด้านกฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว และในกรณีของคดีการตีความคำพิพากษาศาลโลกนี้ ก็จะทำงานร่วมกับตัวแทนของรัฐบาลไทยคือ นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก และรองตัวแทนคือ นายอิทธิพร บุญประคอง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย โดยทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของคณะดำเนินคดีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และเจ้ากรมแผนที่ทหาร เป็นที่ปรึกษา

สำหรับผู้พิพากษาเฉพาะกิจของฝ่ายไทย รัฐบาลไทยได้เสนอชื่อ ศาสตราจารย์ฌอง-ปิแอร์ คอต (Jean-Pierre Cot) สัญชาติฝรั่งเศส โดยศาสตราจารย์คอตดำรงตำแหน่งประธานชมรมกฎหมายระหว่างประเทศของประเทศฝรั่งเศส (French Society of International Law) ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ มหาวิทยาลัยปารีส (University of Paris I) เป็นนักวิจัยสมทบ (Associate Research Fellow) ของมหาวิทยาลัยอิสระแห่งบรัสเซลล์ (Universit? Libre de Bruxelles) ประเทศเบลเยียม เคยเป็นทนายความคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหลายคดี อาทิ คดีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างบูร์กินาฟาโซกับสาธารณรัฐมาลี ข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตระหว่างลิเบียกับชาด ข้อพิพาทเขตแดนทางบกและทางทะเลระหว่างแคเมอรูนกับไนจีเรีย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้พิพาษาเฉพาะกิจในหลายคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ อาทิ คดีแบ่งเขตทางทะเลในทะเลดำระหว่างโรมาเนียกับยูเครน และคดีเกี่ยวกับการพ่นยาฆ่าวัชพืชทางอากาศ (Aerial Herbicide Spraying) ระหว่างเอกวาดอร์กับโคลอมเบีย และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (International Tribunal of the law of the sea: ITLOS)

ต่อคำถามว่าเหตุใดไทยจึงเลือกชาวฝรั่งเศสเป็นที่ปรึกษากฎหมายและผู้พิพากษาเฉพาะกิจในการดำเนินคดีครั้งนี้ โฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า รัฐบาลพิจารณาผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวจากคุณสมบัติด้านความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และการยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้งแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดและท่าทีรวมทั้งผลประโยชน์ของฝ่ายไทย นอกจากนี้ โดยที่เอกสารทางกฎหมายส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นภาษาฝรั่งเศส จึงจำเป็นและจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อฝ่ายไทยที่จะมีบุคคลที่มีความเข้าใจภาษาฝรั่งเศสและแนวคิดทางกฎหมายระหว่างประเทศเป็นอย่างดีอยู่ในทีมเพื่อช่วยในเรื่องการทำความเข้าใจกับเอกสารทางกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งในการดำเนินคดีด้วย

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของทีมกฎหมายระหว่างประเทศของไทย จึงสามารถมั่นใจได้ว่าบุคคลเหล่านี้จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาและสนับสนุนผลประโยชน์ของประเทศไทยในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารอย่างยุติธรรม

กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ