เมื่อวันที่ ๖ — ๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย — ยุโรป ครั้งที่ ๑๐ หรือ ASEM Foreign Ministers’ Meeting ภายใต้หัวข้อหลักเรื่อง Working Together on Non-Traditional Security Challenges ณ เมือง Godollo สาธารณรัฐฮังการี
การประชุมดังกล่าวมีระดับรัฐมนตรีต่างประเทศและผู้แทนของประเทศยุโรปและเอเชีย ๔๖ ประเทศ พร้อมด้วยเลขาธิการอาเซียน และผู้แทนระดับสูงของ EU ด้านนโยบายทางการเมืองและความมั่นคงเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้หารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นท้าทายความมั่นคงรูปแบบใหม่ เนื่องจากการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในหลายประเทศ โดยเฉพาะล่าสุดที่ญี่ปุ่น ทำให้นานาประเทศตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือเพื่อรับมือกับการป้องกันและจัดการกับภัยพิบัติและความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ รวมทั้งได้หารือถึงปัญหาความมั่นคงซึ่งต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน การก่อการร้าย ปัญหาโจรสลัด พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์แนวทางการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เหตุการณ์การประท้วงเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงของผู้นำในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเป็นประเด็นหลักที่ประชุมสนใจแลกเปลี่ยนความเห็น เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมือง และพลังงานระหว่างประเทศ
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แสดงความพร้อมของไทยที่จะมีบทบาทในฐานะผู้ให้และพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกรอบและเวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและมีศักยภาพในฐานะอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ทั้งนี้ ยังได้ย้ำถึงความพร้อมของท่าอากาศยานอู่ตะเภาที่จะเป็นศูนย์จัดการภัยพิบัติและฝึกอบรมในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของศูนย์ภัยพิบัติของอาเซียน (ASEAN Coordination Centre for Humanitarian Assistance — AHA) ที่อินโดนีเซีย และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center — ADPC)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้แสดงความประสงค์ของไทยในการร่วมมือกับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ เช่น โครงการอาหารโลก (World Food Programme) เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร เช่น การแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความต้องการของไทยในการดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนข้าว (Rice Swap Arrangement) และการจัดตั้งระบบสำรองข้าวฉุกเฉินอาเซียน + ๓ (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve - APTERR) ทั้งนี้ ไทยพร้อมร่วมมือกับประเทศยุโรปใน ASEM เพื่อให้มีความร่วมมือไตรภาคีและความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคต่าง ๆ
ในปัจจุบัน เศรษฐกิจเอเชียโดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพลวัตร แข็งแกร่ง และมั่นคงอันเนื่องมาจากการผ่านประสบการณ์เผชิญและรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินเมื่อปี ๒๕๔๐ ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงเสนอที่จะจัดการประชุมเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศเอเชียที่ผ่านพ้นและฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๕๔๐ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งแม้ได้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจโลกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๑ และปัญหาการเมืองภายในช่วงกลางปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อันแสดงให้เห็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบด้วยว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Asia -Europe Conference on Balanced Mobility เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเอเชียและยุโรปในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย — ยุโรปในปีนี้ (๒๕๕๔) ถือว่า ครบรอบ ๑๕ ปีนับตั้งแต่การประชุมผู้นำเอเชีย — ยุโรป ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๙ ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบัน ASEM ประกอบด้วยสมาชิก ๔๖ ประเทศ ได้แก่ ประเทศจากสหภาพยุโรป ๒๗ ประเทศ ประเทศจากทวีปเอเชีย ๑๖ ประเทศ และสมาชิกใหม่อีก ๓ ประเทศ รวมถึง ๒ องค์กร คือ สำนักเลขาธิการอาเซียนและสหภาพยุโรป การประชุมเอเชีย-ยุโรปมีลักษณะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น (dialogue) และความร่วมมือตาม ๓ เสาหลัก ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม/วัฒนธรรม/การศึกษา โดยประเทศสมาชิกสามารถเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมและความร่วมมือได้ตามความเชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ แบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี และความร่วมมือระหว่างกัน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--