เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าเฝ้าและหารือข้อราชการกับเชค อับดุลลาห์ บิน ซาอิด อัล นะฮ์ยาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และพบหารือกับนายโมฮัมเมด บิน ดาเอน อัล ฮัมลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยูเออี โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เข้าร่วมการหารือด้วย สาระสำคัญของการหารือสรุปได้ ดังนี้
ในการเข้าเฝ้าและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเออี นั้น รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แสดงความพร้อมของไทยที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และได้กราบทูลเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเออีเยือนไทยในปี ๒๕๕๕ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเออีได้ตอบรับที่จะเยือนไทยอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปีหน้า โดยทั้งสองฝ่ายจะถือโอกาสดังกล่าวจัดประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระหว่างกันด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเออี ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยรัฐมนตรีว่าการฯ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สถานการณ์ที่กรุงเทพฯ โดยทั่วไปและเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต และเกาะสมุย ยังคงปกติและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวเช่นเดิม จึงได้ขอให้ทางการยูเออีปรับลดระดับคำแนะนำการเดินทางสำหรับคนชาติของตนด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลยูเออีที่ได้ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทจำนวน ๑๐ ทุน ใน ๗ สาขาแก่นักศึกษาไทยเพื่อศึกษาต่อที่ Masdar Institute of Science and Technology รวมทั้งการยกเลิกมาตรการระงับการนำเข้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากได้ระงับการนำเข้าตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เนื่องจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก
ในด้านการท่องเที่ยวนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเออีได้กล่าวชื่นชมการบริการทางการแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวยูเออีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอให้ทางการไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการตรวจลงตราเข้าประเทศไทยจาก ๓๐ วันเป็น ๙๐ วัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชาวยูเออีที่เดินทางไปรักษาพยาบาลที่ประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการฯ ได้รับที่จะพิจารณาด้วยดี ในขณะเดียวกัน ได้ขอให้ฝ่ายยูเออีพิจารณาตรวจลงตราหนังสือเดินทางให้กับคนไทยที่สนามบินในยูเออีด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันที่จะเร่งรัดการเจรจาความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ในด้านพลังงานนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ขอบคุณฝ่ายยูเออีที่ได้ให้การสนับสนุนไทยมาโดยตลอด ซึ่งยูเออีเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันดิบอันดับ ๑ ของไทย คิดเป็นร้อยละ ๔๘ ของน้ำมันดิบนำเข้าจากตะวันออกกลาง และเป็น ร้อยละ ๓๕ ของน้ำมันดิบนำเข้าทั้งหมดจากทั่วโลก ทั้งนี้ ยูเออีมีความสำคัญสำหรับประเทศไทยในด้านความมั่นคงทางพลังงงาน ในขณะที่ไทยมีความสำคัญต่อยูเออีทางด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะด้านอาหารฮาลาล
สำหรับการพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยูเออีนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ ได้กล่าวแสดงยินดีที่รับทราบว่า ยูเออีได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะมนตรีของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency — IRENA) โดยไทยเห็นว่าการจัดตั้ง IRENA จะเป็นประโยชน์กับทุกประเทศที่เข้าร่วม เพื่อเป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและขยายความร่วมมือระหว่างสมาชิก ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศผู้สังเกตการณ์และอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก พร้อมทั้งได้ถือโอกาสนี้ เชิญชวนให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจของยูเออีศึกษาโอกาสสำหรับการร่วมลงทุนทางธุรกิจกับฝ่ายไทยในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ในด้านดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายยูเออีมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับโครงสร้างท่าเรือน้ำลึก และสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทั้งสองฝั่งของทะเลภาคใต้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ชี้แจงว่า ไทยมีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยไทยได้ส่งเสริมการลงทุนด้านการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งในและต่างประเทศ และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวจากต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ ประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--