เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ (4th GMS Summit) ที่เนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เข้าพบหารือทวิภาคีกับนายวันนะ หม่อง ลวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาร์ และนายตาน เท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเมียนมาร์ ซึ่งภายหลังการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมกันให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน สรุปสาระสำคัญดังนี้
๑. ฝ่ายไทยแสดงความยินดีที่รัฐบาลเมียนมาร์เปิดจุดผ่านแดนเมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ และขอบคุณเมียนมาร์ในการปล่อยตัวนักโทษชาวไทย ๘ คน ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๗ รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทางการเมียนมาร์มีความซาบซึ้งในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่มีความสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพที่แนบแน่นระหว่างทั้งสองประเทศ
๒. ไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านพลังงานกับเมียนมาร์เป็นอย่างยิ่ง โดยก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาและแหล่งเยตากุน ที่นำส่งผ่านท่อเข้าไทยทุกวัน นั้น เป็นประมาณร้อยละ ๓๐ ของปริมาณความต้องการก๊าซธรรมชาติทั้งหมดของไทย ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายแสดงความจริงใจที่จะขยายความร่วมมือทางพลังงานระหว่างกัน พร้อมรับทราบว่า ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งซอติก้าในอ่าวเมาะตะมะ ซึ่ง ปตท. สผ. ได้เป็นผู้สำรวจนั้น มีกำหนดจะสามารถส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่ไทยได้ภายในปี ๒๕๕๖ รวมทั้งจะมีการเร่งรัดให้มีการจัดทำสัญญาระหว่าง ปตท. สผ. กับฝ่ายเมียนมาร์ในการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในแหล่ง M-3 เพื่อให้เริ่มการผลิตได้ในปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ แหล่งดังกล่าวเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติแบบเหลวที่สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ โดยเมื่อสามารถขุดเจาะก๊าซธรรมชาติขึ้นมาได้แล้ว ไทยและเมียนมาร์มีแผนงานจะลงทุนร่วมกันเพื่อทำอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสำหรับผลิตใช้ในเมียนมาร์และเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการดำเนินอุตสาหกรรมทางพลังงานของเมียนมาร์ ที่แต่เดิมจะมุ่งแต่ผลิตเพื่อส่งออกแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างทั้งสองประเทศนับเป็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย โดยไทยได้พลังงานไฟฟ้า ขณะที่เมียนมาร์ได้รับรายได้ ตลอดจนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเทคโนโลยีของไทยเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
๓. เรื่องท่าเรือทวาย รัฐมนตรีของไทย ๕ กระทรวงประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเดินทางไปเยือนพื้นที่โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ ในโอกาสนี้ จะขอพบหารือกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของฝ่ายเมียนมาร์ด้วย โดยเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยจะเร่งให้มีการจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับเมียนมาร์ต่อไป
๔. นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมบริเวณแนวชายแดน อาทิ การลักลอบขนยาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย รวมทั้งหารือเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลของฝ่ายเมียนมาร์ เช่น การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำเมย ตลอดจนประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนของแรงงานประมงชาวเมียนมาร์ ซึ่งในทั้งสองเรื่องฝ่ายไทยรับจะพิจารณาต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--