เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ในระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒ และการประชุมอาเซียน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) ครั้งที่ ๑๙ ณ กรุงพนมเปญ
การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒
ระหว่างการประชุม รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ย้ำถึงความสำคัญของ EAS ที่พัฒนามาเป็นเวทีหารือ เชิงยุทธศาสตร์และเป็นส่วนสำคัญในสถาปัตยกรรมของภูมิภาค ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้เวทีนี้ พัฒนาไปในแนวทางที่จะเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคง และเสริมสร้างความเจริญเติบโตและ ความมั่งคั่งในภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ย้ำว่า EAS ควรคงเอกลักษณ์พิเศษในการเป็นเวทีหารือเชิงยุทธศาสตร์ ที่ขับเคลื่อนโดยผู้นำ และให้ความสำคัญกับประเด็นที่มีผลต่อภาพรวมในเชิงยุทธศาสตร์และมีนัยสำคัญ ต่อภูมิภาค การประชุม EAS ควรเปิดกว้างสำหรับการหารือในประเด็นยุทธศาสตร์ต่างๆ ในแนวทางที่สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเชื่อมั่น และความร่วมมือระหว่างกัน ในขณะที่การประชุมในระดับ
รัฐมนตรีต่างประเทศควรมุ่งเน้นติดตามประเด็นที่ได้มีการหารือกันในการประชุมระดับผู้นำ นอกจากนี้ การประชุม EAS ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาไปสู่การรวมตัวในภูมิภาค และการสร้าง ประชาคมในเอเชียตะวันออกเป็นอันดับแรก โดยผ่านทางการเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค อาทิ ปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชน การพัฒนาความสอดคล้องด้านกฏระเบียบตลอดจการระดมเงินทุน ที่มีอยู่มากมายในภูมิภาคเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๑๙
รัฐมนตรีว่าการฯเน้นย้ำว่าอาเซียนเป็นจุดศูนย์กลางและเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญในการรวมตัวในภูมิภาค ความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตของภูมิภาคขณะเดียวกันอาเซียนยินดีที่ มหาอำนาจให้ความสนใจและเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์นี้นอกจากจะเป็นไปอย่าง แข็งขันแล้วควรเป็นไปอย่างสร้างสรรค์เพื่อช่วยส่งเสริมการรวมตัวในภูมิภาคและการสร้างประชาคมอาเซียนและประชาคมเอเชียตะวันออก
ในประเด็นเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติ รัฐมนตรีว่าการฯ ย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมการ รับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีการเกิดภัยพิบัติมากที่สุดของโลก ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยพร้อมจะทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งในปีหน้าไทยและเกาหลีใต้จะร่วมเป็น เจ้าภาพจัดการซ้อมใหญ่การเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของภูมิภาคในด้านนี้ และหาแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไป
นอกจากนี้ ไทยให้ความสำคัญต่อประเด็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โดยรัฐมนตรีว่าการฯ ได้แสดงความยินดีที่ความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินในกรอบอาเซียน + ๓ มีผลบังคับใช้ สำหรับประเด็นในด้าน ความมั่นคงทางพลังงาน รัฐมนตรีว่าการฯ เห็นว่าควรส่งเสริมให้มีการหารือและร่วมมือกัน ในเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างอุปทานด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัย และพัฒนาพลังงานที่สะอาด หมุนเวียนได้ และมีราคาไม่แพงด้วย
สำหรับประเด็นเรื่องคาบสมุทรเกาหลี รัฐมนตรีว่าการฯได้เน้นย้ำว่าสันติภาพและความมั่นคง บนคาบสมุทรเกาหลีมีความสำคัญ และประเทศไทยจะยังคงเรียกร้องให้มีการกลับสู่กระบวนการเจรจา ๖ ฝ่ายโดยเร็ว และขอร้องให้ทุกฝ่ายหยุดการกระทำที่จะนำไปสู่การยั่วยุ
สำหรับประเด็นเรื่องเมียนมาร์ ไทยยินดีที่ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักถึงบทบาท ของประธานาธิบดี เต็ง เส่งในการผลักดันการปฏิรูปต่าง ๆ และเรียกร้องให้มิตรประเทศของเมียนมาร์ยกเลิก มาตรการคว่ำบาตร ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของเมียนมาร์ต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--