เอกสารแถลงข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี

ข่าวต่างประเทศ Wednesday November 14, 2012 11:17 —กระทรวงการต่างประเทศ

เอกสารแถลงข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายอี มยอง-บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

๑. ฯพณฯ นายอี มยอง-บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามคำเชิญของ ฯพณฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้วางพวงมาลาหน้าอนุสาวรีย์สงครามเกาหลี ณ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จังหวัดชลบุรี และจะเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการปรับปรุงคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดสมุทรปราการ หลังการหารือทวิภาคีระหว่างผู้นำทั้งสองในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

๒. ระหว่างการเยือน ผู้นำทั้งสองได้หารือทวิภาคีกันที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมถึงความสัมพันธ์ทวิภาคี ความร่วมมือในภูมิภาค ตลอดจนประเด็นระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจของทั้งสองประเทศ

๓. ในโอกาสการครบรอบ ๕๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ในปี ๒๕๕๖ ผู้นำทั้งสองยินดีที่จะมีการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ และตอกย้ำถึงคำมั่นที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์

๔. ผู้นำทั้งสองยินดีที่การค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง ๑.๓๙ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี ๒๕๕๔ โดยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนหน้า พร้อมกล่าวย้ำความพยายามร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเป็น ๓ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๕๙

๕. ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะให้มีการดำเนินความพยายามอย่างจริงจังเพื่อรับรองแผนปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ (ปี ๒๕๕๖ — ๒๕๖๐) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเกาหลีโดยเร็ว ซึ่งแผนปฏิบัติการดังกล่าวครอบคลุมความร่วมมือในสาขาที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้า และลดอุปสรรคทางการค้าของทั้งสองประเทศให้น้อยที่สุด ในการนี้ ผู้นำทั้งสองได้ขอให้รื้อฟื้นการเจรจาทวิภาคีด้านการค้าภายใต้คณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย — สาธารณรัฐเกาหลี

๖. เพื่อความมุ่งหมายที่จะสร้างเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้เข้มแข็งขึ้น ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะให้มีการหารือในเบื้องต้นและศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยจะมีการนำเสนอผลลัพธ์และผลจากการหารือและทำการศึกษาดังกล่าว ตลอดจนข้อเสนอแนะด้านนโยบายต่อรัฐบาลทั้งสองประเทศ ภายใน ๑๒ เดือน เพื่อพิจารณาต่อไป

๗. ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรม

ในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะและผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และพลังงาน

๘. จำนวนนักท่องเที่ยวที่แลกเปลี่ยนการเดินทางระหว่างสองประเทศมีจำนวนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง ๑.๓ ล้านคน ในปี ๒๕๕๔ ผู้นำทั้งสองได้เน้นย้ำว่า การรื้อฟื้นการเจรจาทวิภาคีด้านบริการการบิน จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการบิน ตลอดจนอำนวยความสะดวกด้านการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา สินค้า และบริการ นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองได้ตกลงที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการคุ้มครองผู้อยู่อาศัยหรือนักท่องเที่ยวสัญชาติไทยและสาธารณรัฐเกาหลีในแต่ละประเทศ

๙. ผู้นำทั้งสองเห็นร่วมกันว่าการจัดตั้งธนาคารเกาหลีในไทยสามารถอำนวยความสะดวกต่อการลงทุนและการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถหารือกันต่อไปในเรื่องนี้

๑๐. ผู้นำทั้งสองยินดีที่ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือระหว่างกันอย่างกว้างขวางด้านโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ การวางระบบการจัดการน้ำ ตลอดจนรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย

๑๑. ผู้นำทั้งสองยินดีที่กองทุนภูมิอากาศโลก (Global Climate Fund: GCF) มีสำนักเลขาธิการตั้งอยู่ในสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการปรับสถานะสถาบันการพัฒนาสีเขียวโลก (Global Green Growth Institute: GGGI) เป็นองค์กรระหว่างประเทศ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ โดยเห็นว่าเป็นข้อริเริ่มที่สำคัญสำหรับการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมาย

การลดปริมาณคาร์บอน และการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวอย่างยั่งยืน

๑๒. โดยระลึกถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างรัฐบาล

ทั้งสองประเทศ เมื่อเดือนมีนาคม ผู้นำทั้งสองได้ให้คำมั่นอีกครั้งที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

๑๓. ผู้นำทั้งสองประเทศยินดีให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ซึ่งได้มีส่วนช่วยในการเชื่อมสายสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี และได้ช่วยสร้างเสริมความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยผู้นำทั้งสองได้ย้ำเจตนารมณ์ของตนที่จะเร่งรัดการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยและศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีที่กรุงโซลและที่กรุงเทพฯ ตามลำดับ เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ ๕๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ไทย — สาธารณรัฐเกาหลี

๑๔. ผู้นำทั้งสองย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการรวมกลุ่มในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงความร่วมมือภายใต้กรอบความสัมพันธ์อาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (ASEAN+3) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) โดยนายกรัฐมนตรีไทย ได้เน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงของอาเซียนต่อการพัฒนาในภูมิภาค นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อความสำเร็จในการร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการจัดฝึกซ้อมบรรเทาภัยพิบัติในกรอบ ARF ครั้งที่ ๓ (DiREx) ในปี ๒๕๕๖ ของไทยและสาธารณรัฐเกาหลี

๑๕. ผู้นำทั้งสองยินดีต่อความคืบหน้าของความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และได้แสดงความ พึงพอใจต่อความคืบหน้าดังกล่าวในที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่ประเทศกัมพูชา นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสอง

ได้ยืนยันคำมั่นอย่างแข็งขันที่จะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในบริบทของความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และยินดีที่จะมีการจัดเวทีหารือภาคธุรกิจลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีที่ไทยในปี ๒๕๕๖

๑๖. สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค นายกรัฐมนตรีไทยได้ย้ำการสนับสนุนที่แน่วแน่ของไทยต่อการดำเนินความพยายามของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสันติภาพ เสถียรภาพ และการปลอดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ได้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อการแสดงการสนับสนุนดังกล่าว

กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ