นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเดินทางเยือนแขวงหลวงพระบาง สปป. ลาว ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ ซึ่งจะมีรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิก ทั้ง ๖ ประเทศ เข้าร่วม ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน
ที่ประชุมจะทบทวนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ๕ ปี แม่โขง - ล้านช้าง (Five-Year Plan of Action on Mekong - Lancang) ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา (Progress Report) และรับฟังแนวทางการดำเนินนโยบายต่อกรอบความร่วมมือดังกล่าวจากรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิก และจะพิจารณารับรองเอกสารผลลัพธ์ ๑ ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ (Joint Press Communiqu? of the 4th MLC Foreign Ministers’ Meeting) ซึ่งจะมีสาระสำคัญ อาทิ (๑) การรับรองหัวข้อสำหรับการประชุมผู้นำ MLC ครั้งที่ ๓ และตราสัญลักษณ์ของการประชุมผู้นำ MLC ครั้งที่ ๓ ซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการประชุมและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ สปป.ลาว และจีนเป็นประธานร่วมในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๖๓ (๒) ตราสัญลักษณ์ของกรอบความร่วมมือ MLC และเพลงของกรอบความร่วมมือ MLC (๓) การทบทวนความสำเร็จและความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ๕ ปี ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา (๔) การกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต อาทิ การจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง - ล้านช้าง (Lancang - Mekong Economic Development Belt) การดำเนินการโครงการใหม่ ๆ และการจัดตั้งสำนักเลขาธิการระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (MLC International Secretariat) และ (๕) การส่งเสริมให้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้างดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การพัฒนาแห่งชาติของแต่ละประเทศสมาชิก รวมทั้งกลไกลความร่วมมือในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค เช่น ACMECS ASEAN และ GMS
กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Mekong - Lancang Cooperation - MLC) พัฒนามาจากข้อริเริ่มของไทย ในปี ๒๕๕๕ ที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก ได้มีการจัดตั้งกรอบความร่วมมือขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘
ที่มา: กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ