เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ นางบุษยา มาทแล็ง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการหารือเพื่อกำหนดทิศทางการทูตเชิงเศรษฐกิจกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ในยุคหลังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสามสถาบันและหน่วยงานพันธมิตรเพื่อระดมสมองและกำหนดแนวทางการรักษาและขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและของไทยในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทึ่ประชุมตระหนักถึงโอกาสและความท้าทายที่ไทยกำลังประสบอันเกิดจากโควิด-๑๙ และเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งเชื่อมโยง (re-connect) กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ในการประชุมครั้งนี้ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำถึงบทบาทและความพร้อมของกระทรวงฯ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของไทยในอนุภูมิภาคซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยตระหนักถึงบทบาทของภาคเอกชนในการดำเนินการด้านการทูตเชิงเศรษฐกิจ การหารือครั้งนี้ถือเป็นเวทีแรกนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-๑๙ ที่ได้มีการหารือในระดับนโยบายระหว่างกระทรวงฯ กับภาคเอกชน
ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับมาตรการที่ควรดำเนินการทั้งในระยะสั้น เช่น การส่งเสริมการค้าชายแดน การพัฒนาโลจิสติกส์ การสร้างสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อย (SMEs) และเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว และในระยะยาว เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมและการค้า ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมยังเห็นว่า โดยอาศัยจุดแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุข ไทยจึงได้รับความเชื่อมั่นจากนานาชาติที่จะเข้าลงทุนในอนาคต และไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่ประเทศที่มีมาตรฐานสูง สะอาด และปลอดภัย ทั้งหมดนี้ จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ภาคธุรกิจและประชาชน และจะทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หน่วยงานที่เข้าร่วมเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป โดยจะมีการจัดตั้งกลไกการทำงานเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการทูตเชิงเศรษฐกิจของไทยในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยมีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นแกนกลางในการประสานงาน ทั้งนี้ การหารือในครั้งนี้ นับเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-๑๙
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ