ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศย้ำไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารชั้นนำ และพร้อมร่วมมือแสวงหาโอกาสการลงทุนกับอินโดนีเซียในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยทางอาหารในงานสัมมนาธุรกิจออนไลน์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศย้ำไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ ๒ ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ ๑๑ ของโลก โดยไทยพร้อมร่วมมือแสวงหาโอกาสการลงทุนกับอินโดนีเซียในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยทางอาหาร ในงานสัมมนาธุรกิจออนไลน์เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย ? อินโดนีเซีย ในหัวข้อ ?Turning Crisis into Opportunity: Enhancing Indonesia and Thailand Trade and Investment in the Era of Disruption and Uncertainty of COVID-19 Pandemic?
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศร่วมกล่าวเปิดการสัมมนาธุรกิจทางไกลในหัวข้อ ?Turning Crisis into Opportunity: Enhancing Indonesia and Thailand Trade and Investment in the Era of Disruption and Uncertainty of COVID-19 Pandemic? ร่วมกับนาย Mahendra Siregar รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมฉลองครบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย ? อินโดนีเซีย จัดโดยกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถึงสายสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ยาวนานหลายศตวรรษก่อนจะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ตลอดจนความร่วมมือทั้งในมิติทวิภาคี ในอาเซียนและในเวทีโลก แม้ว่าไทยและอินโดนีเซียต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด ? ๑๙ แต่ทั้งสองประเทศก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่ ไทยมีความพร้อมด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร โดยในช่วงโควิด-๑๙ ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ ๒ ในเอเชีย และเป็นอันดับที่ ๑๑ ของโลก ซึ่งมีมูลค่าประมาณ ๓.๓ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยจึงมีความพร้อมในการมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานด้านอาหารของโลก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของไทยที่มุ่งเป็น ?ครัวของโลก? ในการนี้ ไทยพร้อมจะร่วมมือกับอินโดนีเซียในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยทางอาหาร และภาคเอกชนไทยพร้อมที่จะร่วมมือและแสวงหาโอกาสการลงทุนกับฝ่ายอินโดนีเซียเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียกล่าวถึงความสำคัญของไทยต่ออินโดนีเซียในฐานะหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและพันธมิตรที่ยาวนานในอาเซียน อินโดนีเซียเป็นแหล่งลงทุนของภาคเอกชนไทยหลายบริษัท เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ธนาคารกรุงเทพ และ SCG เป็นต้น และไทยเป็นแหล่งลงทุนใหม่ของบริษัทเอกชนของอินโดนีเซีย เช่น Gojek ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการร่วมมือกันในด้านอาหารและเครื่องดื่ม และอินโดนีเซียยังเป็นโอกาสลงทุนของภาคธุรกิจไทยในสาขาที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ เกษตรกรรม ประมง อาหารแปรรูป และห้องเย็น เป็นต้น โดยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งได้ลงนามแล้วในปีนี้ส่งผลให้บทบาทของอาเซียนในห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ของโลกเด่นชัดขึ้น ดังนั้น ไทยและอินโดนีเซียจึงต้องร่วมมือกันให้ใกล้ชิดและครอบคลุม
ในช่วงการสัมมนาฯ วิทยากรฝ่ายไทย ประกอบด้วย นางสาวณภัทร ทัพพันธุ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศประจำกรุงจาการ์ตา นายธรรศ ทังสมบัติ นายกกิตติมศักดิ์และประธานกลุ่มผู้ผลิตอาหารทะเล สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และฝ่ายอินโดนีเซีย ได้แก่ นาย Adhi Lukman ประธานสมาคมอาหารและเครื่องดื่มอินโดนีเซีย (Head of the Indonesia F&B Association) นาย Mohamad Faisal ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการลงทุนอินโดนีเซีย (Director of Indonesia Investment Promotion Centre (IIPC)) ประจำสิงคโปร์ และนาย Kenneth Li หุ้นส่วน (Managing Partner) MDI Venture ทั้งสองฝ่ายได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนและการค้าในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม การปรับตัวของภาคธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด-๑๙ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน โอกาสและการพัฒนาศักยภาพด้านการลงทุนภายหลังสถานการณ์โควิด-๑๙ รวมถึงกฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศของแต่ละฝ่าย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ทั้งนี้ วิทยากรอินโดนีเซียให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมาย Omnibus Law ของอินโดนีเซียซึ่งจะส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในอินโดนีเซียและเป็นโอกาสของนักลงทุนจากต่างประเทศ
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ