ตามที่สื่อมวลชนต่างประเทศให้ความสนใจเกี่ยวกับกรณีการจัดหาวัคซีนของไทย ขอเรียนว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ น.พ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว สรุป ดังนี้
๑. รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและคุณภาพของวัคซีนเป็นอันดับต้น รวมทั้งการจัดหาวัคซีนอย่างรวดเร็ว โดยวัคซีนทุกตัวต้องผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อนนำไปใช้กับประชาชนต่อไป
๒. ประเทศไทยเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้ และไม่มีนโยบาย ที่จะผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่จะเลือกวัคซีนจากบริษัทที่มีความพร้อม ความปลอดภัย มีคุณภาพ และมีการตอบรับข้อเสนอของประเทศไทย
๓. บริษัท AstraZeneca ได้พิจารณาคุณสมบัติของบริษัทในประเทศไทยหลายราย แต่เห็นว่ามีเพียงบริษัท Siam Bioscience เท่านั้น ที่มีศักยภาพในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในรูปแบบของ viral vector vaccine และมีเงื่อนไขว่า บริษัทที่คัดเลือกต้องสามารถผลิตได้ 200 ล้านโดสต่อปีขึ้นไปถึงจะได้รับการพิจารณา ซึ่งบริษัท Siam Bioscience เข้าเกณฑ์ตามที่บริษัท AstraZeneca ต้องการ จึงได้รับการคัดเลือกโดยบริษัท AstraZeneca
๔. การที่บริษัท AstraZeneca ขายวัคซีนให้ไทย และคัดเลือกให้ไทยเป็นศูนย์กระจายวัคซีนให้กับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่บนพื้นฐานของหลักการ "no profit, no loss" (ไม่มีกำไรแต่จะไม่ขาดทุน) ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการหากำไร แต่เป็นเรื่องของการทุ่มเทเพื่อให้ได้วัคซีน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางวัคซีนของไทยและของภูมิภาค
๕. ครม. ได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนสถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศโดยงบประมาณดังกล่าวได้จัดสรรให้ผู้ผลิตเวชภัณฑ์ทุกรายที่มีศักยภาพในการพัฒนาวัคซีนร่วมกับรัฐบาล นอกจากบริษัท Siam Bioscience แล้ว หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าวยังรวมถึงบริษัทใบยาไฟโตฟาร์มและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกำลังพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้นทางร่วมกับบริษัท Siam Bioscience ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เองอย่างครบวงจร
๖. จนถึงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ประเทศไทยได้สั่งซื้อวัคซีน ๖๑ ล้านโดสจากบริษัท AstraZeneca และ ๒ ล้านโดสจากบริษัท Sinovac แล้ว ทั้งนี้ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้ย้ำว่า วัคซีนมีเพียงพอ โดยจะทยอยฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงที่สุดเป็นอันดันต้น
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ