ปลัดกระทรวงการต่างประเทศผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความเข้มแข็ง (Strengthened Strategic Partnership) ให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ฉลองโอกาสครบรอบ ๔๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปี ๒๕๖๔ ในการประชุม Political Consultation Group ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ ๘
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานร่วมการประชุม Political Consultation Group ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ ๘ ผ่านระบบทางไกล โดยผลักดันความร่วมมือทวิภาคีและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความเข้มแข็ง (Strengthened Strategic Partnership) ให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสที่ไทยและเวียดนามฉลองครบรอบ ๔๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปี ๒๕๖๔ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย - เวียดนามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-๑๙ การเพิ่มพูนการค้าให้บรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคีใหม่ที่ ๒๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๘ ตลอดจนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ นายธานี ทองภักดี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และนายเหวียน ก๊วก สุง (H.E Mr. Nguyen Quoc Dzung) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้เป็นประธานร่วมการประชุม Political Consultation Group (PCG) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ ๘ ผ่านระบบทางไกล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการผลักดันความร่วมมือทวิภาคีและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความเข้มแข็ง (Strengthened Strategic Partnership) ให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสที่ไทยและเวียดนามฉลองโอกาสครบรอบ ๔๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปีนี้
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-๑๙ อาทิ การยอมรับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนระหว่างกันและการอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างสองประเทศในอนาคต รวมทั้งการกระชับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกการหารือเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการลงทุนในทั้งสองประเทศ เพื่อเพิ่มพูนการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคีใหม่ที่ ๒๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๘ และจะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งสองประเทศจะส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการมากยิ่งขึ้น โดยผ่านการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรในสาขาใหม่ ๆ อาทิ ความมั่นคงทางสุขภาพ ความมั่นคงทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในหลากหลายสาขา ได้แก่ ความมั่นคงทางทะเล การศึกษา ความเชื่อมโยงในภูมิภาค การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) รวมทั้งการบริหารจัดการประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ อาทิ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะกระชับความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอนุภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยประสานให้การดำเนินการของทั้งสองประเทศเกื้อกูลกันและกัน และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากกรอบความร่วมมือ ACMECS และ GMS ที่เป็นกรอบความร่วมมือหลักของอนุภูมิภาค รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นภูมิภาคที่มีความสนใจร่วมกัน รวมถึงสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งไทยและเวียดนามมีความกังวลร่วมกัน โดยเห็นพ้องถึงความสำคัญที่จะต้องผลักดันให้มีการปฏิบัติตามฉันทามติ ๕ ข้อของผู้นำอาเซียนโดยเร็ว และประเด็นทะเลจีนใต้ ซึ่งไทยและเวียดนามต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในการส่งเสริมการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่สำคัญดังกล่าวและประสงค์ให้กระบวนการหารือภายในกรอบอาเซียนมีความคืบหน้า นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยืนยันความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในภูมิภาค และเวียดนามยังได้ยืนยันสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคของไทยในปี ๒๕๖๕ ด้วย
การประชุม Political Consultation Group (PCG) ครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งเป็นทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด และหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก อีกทั้งยังเป็นการเตรียมการสำหรับการประชุมทวิภาคีระดับสูงที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย ได้แก่ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation: JCBC) ครั้งที่ ๔ และการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ครั้งที่ ๔ ซึ่งเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ