รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชี้ความสำคัญของความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของรัฐบาลและภาคเอกชนของไทยและซาอุดีอาระเบียในการแสวงหาโอกาสทางการค้าและส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวในงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งสภาหอการค้าเจดดาห์และมักกะห์ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนไทยที่เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย รวมถึงเป็นการจัดกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ (Business matching)
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแสดงความยินดีที่มีนักธุรกิจซาอุดีอาระเบียจากเจดดาห์และมักกะห์แสดงความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจครั้งนี้ถึง ๗๓ บริษัท ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มาจากภูมิภาคที่มีชื่อเสียงด้านศักยภาพทางการตลาดและทำเลที่ตั้งเชิงพาณิชย์เชิงกลยุทธ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เจดดาห์เป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของซาอุดีอาระเบีย และการค้าเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับสองประเทศมาโดยตลอด
ในส่วนของไทยมีผู้แทนจากบริษัทเอกชนชั้นนำ ๓๘ บริษัท จาก ๑๔ สาขา เข้าร่วมโดยมีหลายประเด็นที่แสดงความสนใจร่วมกัน อาทิ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บริการและสุขภาพ ธุรกิจการชะลอวัย ศูนย์ดูแลสุขภาพ พลังงานสะอาด วัสดุก่อสร้าง ห่วงโซ่อุปทาน และดิจิทัล เป็นต้น โดยกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจครั้งนี้ แบ่งธุรกิจออกเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจการพัฒนาเมือง การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม สุขภาพ และอุตสาหกรรม การรวมตัวกันนี้จะนำไปสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์ร่วมกันที่ประสบความสำเร็จและน่าพอใจระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนซาอุดีอาระเบีย ได้ตั้งข้อสังเกตว่าคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนของไทยใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่ชี้ว่าไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชี้ว่า ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของรัฐบาลและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเป็นรากฐานสำหรับการเสด็จฯ เยือนไทยของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และเดินหน้าแผนการขับเคลื่อนและส่งเสริมความสัมพันธ์ (roadmap) ระหว่างสองประเทศ
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ