เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นางอุรีรัชต์ เจริญโต อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ และนาย Morita Takahiro, Chief Representative องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency ? JICA) สำนักงานประเทศไทย ได้ร่วมลงนามในเอกสารความตกลง Grant Agreement for the Programme for COVID-19 Crisis Response Emergency Support ณ กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ๘๐ พรรษา โดยมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ JICA สำนักงานประเทศไทยร่วมพิธีด้วย
การลงนาม Grant Agreement ครั้งนี้ สืบเนื่องจากการลงนามระหว่างอธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศกับนาย Nashida Kazuya เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความช่วยเหลือแบบให้เปล่าของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อดำเนินแผนงาน The Programme for COVID-19 Crisis Response Emergency Support ในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมเป็นสักขีพยาน
Grant Agreement ฉบับนี้เป็นกลไกสำคัญสำหรับขับเคลื่อนแผนงานฯ ในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์และการถ่ายโอนเทคโนโลยีของญี่ปุ่นเพื่อเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขเมื่อสถานการณ์โควิด-๑๙ ในไทยคลี่คลาย ภายใต้วงเงินงบประมาณ ๕๐๐ ล้านเยน (ประมาณ ๑๓๓ ล้านบาท) โดยมุ่งเน้น (๑) การยกระดับมาตรการกักตัวและตรวจโรค COVID-19 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จ.หนองคาย จ.สระแก้ว จ.ระนอง และ จ.สงขลา รวมถึงสนับสนุนสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ (๒) การพัฒนาระดับการเก็บรักษาวัคซีน และ (๓) การพัฒนาระบบการตรวจและรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-๑๙ ที่ห้องปฏิบัติการและสถานพยาบาล โดยเฉพาะสถานพยาบาลของไทยในพื้นที่ชายแดนไทย
ความร่วมมือดังกล่าว ช่วยสนับสนุนบทบาทที่แข็งขันด้านสาธารณสุขของไทยในพื้นที่ชายแดน และช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการแพทย์ระหว่างโรงพยาบาลในพื้นที่ฝั่งไทย กับโรงพยาบาลในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ให้เป็นไปตามแผนการที่กรมความร่วมมือระหว่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ นอกจากนี้ ความร่วมมือของไทยและญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการกระชับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของทั้งสองประเทศ ควบคู่กับการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีของประชาชนตามแนวชายแดน
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ