เมื่อวันที่ ๑๘ - ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ นายอับดุลนัซเซอร์ จามาล อัลชะลี (H.E. Mr. Abdulnasser Jamal Alshaali) ผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและการค้ากระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางเยือนประเทศไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะผู้แทนภาครัฐและคณะนักธุรกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน โดยเป็นการเยือนต่อเนื่องประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และได้นำคณะผู้แทนภาครัฐเข้าร่วมประชุมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย โดยมีนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานประเด็นหารือสำคัญต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในเขตโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พลังงานหมุนเวียน การศึกษาและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับคณะมนตรีความร่วมมือระหว่างรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) ภายหลังการประชุม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่คณะผู้แทนของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ที่กระทรวงการต่างประเทศด้วย
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ได้เข้าพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ คณะนักธุรกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พบหารือกับหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และกรมประมง เพื่อขยายโอกาสด้านการค้าและการลงทุน
การเยือนไทยของคณะผู้แทนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยทั้งสองประเทศได้แสวงหาลู่ทางในการส่งเสริมความร่วมมือในหลายด้าน ทั้งในระดับรัฐบาลและภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูและผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ อนึ่ง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ ๑ ของไทยเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง และอันดับที่ ๑๖ ของไทยเมื่อเทียบกับตลาดโลก
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ