นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีของเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๑๓ ? ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ภายใต้หัวข้อหลัก ?Building back better from the coronavirus disease (COVID-19) while advancing the full implementation of the 2030 Agenda for Sustainable Development? โดยปีนี้ มีการหารือเชิงลึกเพื่อทบทวนการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals -SDGs) ๕ เป้าหมาย ได้แก่ เป้าหมายที่ ๔ (Quality Education) เป้าหมายที่ ๕ (Gender Equality) เป้าหมายที่ ๑๔ (Life below Water) เป้าหมายที่ ๑๕ (Life on Land) และเป้าหมายที่ ๑๗ (Partnerships for the Goals)
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมกล่าวถ้อยแถลงในรูปแบบการบันทึกวีดิทัศน์ล่วงหน้าในช่วงต่าง ๆ โดยย้ำประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่ต้องอาศัยหุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาจากทุกภาคส่วนในทุกระดับและการสนับสนุนจากสหประชาชาติและองค์กรระดับภูมิภาค นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางบนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน แนวทางการพัฒนาสู่ความสมดุลแห่งทุกสรรพสิ่ง การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อเสริมภูมิต้านทานต่อวิกฤตในอนาคต ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีนี้ได้เสนอเอกสาร ?Bangkok Goals on BCG Economy? ให้ที่ประชุมผู้นำเอเปค รับรองต่อไป
การประชุม HLPF ปีนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งรองประธานคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Economic and Social Council: ECOSOC) และประธาน Coordination Segment ของ ECOSOC รวมทั้งเป็นปีสุดท้ายในการเป็นสมาชิก ECOSOC ของไทย โดยนายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ในฐานะรองประธาน ECOSOC กล่าวถ้อยแถลงในพิธีเปิดการประชุม HLPF2022 เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ซึ่งมีสมาชิกจากวง K-pop ?aespa? เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงด้วย ส่งผลให้การประชุม HLPF 2022 ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหมู่เยาวชนและสื่อสังคมออนไลน์
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ