นายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้เดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ ๒๙ ในฐานะแขกพิเศษ และเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๓๐ ? ๑๓.๒๐ น. ประธานาธิบดีฯ ได้หารือทวิภาคีกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแด่ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสและคณะ ณ ห้องสีม่วง ทำเนียบรัฐบาล
ผู้นำทั้งสองได้ย้ำความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างกันในภูมิภาค โดยเฉพาะการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในอาเซียน และบทบาทของไทยในฐานะประธาน APEC 2022 ภายใต้ธีม ?เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล? (Open. Connect. Balance.) โดยเฉพาะการส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model) และไทยเห็นว่าบทบาทที่สร้างสรรค์ของฝรั่งเศสในฐานะประเทศสมาชิกสหภาพบุโรป (อียู) G7 และ G20 จะช่วยสร้างบรรยากาศที่นำไปสู่เสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด - แปซิฟิก
ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการเดินหน้าความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการ (Roadmap) สำหรับความสัมพันธ์ไทย - ฝรั่งเศส ค.ศ. ๒๐๒๒ - ๒๐๒๔ เพื่อยกระดับไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกันในปี ค.ศ. ๒๐๒๔ (พ.ศ. ๒๕๖๗) และเพื่อบรรลุการเติบโตเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี
นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ฝรั่งเศสซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับที่ ๓ และคู่ลงทุนอันดับที่ ๙ ในอียู เพิ่มพูนการค้ากับไทยและขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล และเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการขอให้ฝรั่งเศสสนับสนุนการนำเข้าสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทยไปยังอียูและฝรั่งเศส รวมถึงเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียวในไทย โดยเฉพาะรถยนต์ EV ซึ่งไทยตั้ง
เป้าหมายจะผลิต EV ในไทยให้ได้ร้อยละ ๓๐ ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (พ.ศ. ๒๕๗๓) รวมถึงขอให้ฝรั่งเศสสนับสนุนการรื้อฟื้นการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย - อียู โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยสนับสนุนบริษัทฝรั่งเศสที่มีธุรกิจอยู่ในไทยกว่า ๒๘๐ บริษัทและบริษัทไทยในฝรั่งเศส
ด้านการเมืองความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมจัดตั้งกลไกการเจรจา เจรจา ๒+๒ (กระทรวงการต่างประเทศ + กระทรวงกลาโหม) การสนับสนุนความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมถึงการจัดทำความตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการระหว่างไทยกับฝรั่งเศสโดยเร็วเพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง
ด้านประชาชน ทั้งสองฝ่ายย้ำความสำคัญของการเดินทางที่ปลอดภัยโดยส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาค การเพิ่มพูนการฝึกอบรมวิชาชีพและการศึกษาให้บุคลากรไทยเพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของฝรั่งเศส และยินดีที่ปีหน้ากำหนดให้เป็นปีแห่งนวัตกรรมไทย - ฝรั่งเศส ค.ศ. ๒๐๒๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖)
ทั้งสองฝ่ายหารือประเด็นเร่งด่วนระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ การรับมือกับโรคระบาดรวมถึงย้ำความเป็นหุ้นส่วนที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแสวงหาทางออกที่สันติผ่านการหารือต่อความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ในยูเครนและในเมียนมา เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานของโลกรวมถึงการเร่งบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ (พ.ศ. ๒๕๗๓)
ทั้งสองฝ่ายได้เผยแพร่ถ้อยแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ของการหารือทวิภาคีฯ และนายกรัฐมนตรีได้มอบเอกสารแถลงการณ์แสดงเจตจำนงที่ไทยเข้าร่วมข้อริเริ่ม PREventing Zoonotic Disease Emergence (PREZODE) เพื่อสร้างเครือข่ายนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาการป้องกันโรคติดต่อระหว่างสัตว์กับคน ให้ประธานาธิบดีฯ
ในการเยือนประเทศไทยในฐานะแขกพิเศษของการประชุมเอเปคครั้งนี้ ประธานาธิบดีฯ มีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมของเอเปค ได้แก่ งานเลี้ยงอาหารค่ำของผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ หอประชุมกองทัพเรือ ในช่วงเย็นของวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ และในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ การกล่าวสุนทรพจน์ในช่วง APEC CEO Summit ณ โรงแรม ดิ แอทธินี ในหัวข้อ Navigating a Turbulent World การเข้าร่วม APEC Leaders? Informal Dialogue with Guests ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และการเข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ