เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๕ นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอลฟาน อัชชามิซีย์ (H.E. Mr. Saif Abdulla Mohammed Khalfan Alshamisi) เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่ออำลาในโอกาสครบวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่เอกอัครราชทูตฯ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยเป็นเวลาเกือบ ๘ ปี
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำบทบาทของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยแสดงความยินดีต่อปริมาณการค้าทวิภาคีระหว่างกันที่มีมูลค่าถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ รวมทั้งยินดีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ ๑ ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตลอดจนชื่นชมบทบาทที่แข็งขันของเอกอัครราชทูตฯ ในการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลอด ๘ ปี ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายควรรักษาระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีต่อไป เพื่อต่อยอดความร่วมมือที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน และความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เอกอัครราชทูตฯ ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการดำเนินธุรกิจระหว่างสองประเทศ และตระหนักถึงศักยภาพของโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และการเป็นศูนย์กลางด้านอาหารฮาลาลของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ทั้งสองฝ่ายย้ำความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างสองประเทศ และความสำเร็จของการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commission: JC) ไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงตลอดระยะเวลาที่เอกอัครราชทูตฯ ปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายเล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมบทบาทของอาเซียนในการแสวงหาแนวทางการแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมา การเข้าร่วมเป็นประเทศคู่เจรจาเฉพาะสาขา (Sectoral Dialogue Partner) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอาเซียน และการส่งเสริมพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับคณะมนตรีความร่วมมือระหว่างรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) บนพื้นฐานของการปรึกษาหารือและความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ