เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลซะอูด (His Highness Prince Faisal bin Farhan Al Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ที่กระทรวงการต่างประเทศ ในโอกาสการเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนซาอุดีอาระเบีย
ในโอกาสดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการดำเนินการอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในซูดานกลับประเทศไทย พร้อมทั้งมอบต้นฉบับหนังสือจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูล เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อแสดงความขอบคุณในเรื่องดังกล่าว
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายแสดงความพึงพอใจกับความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนส่งผลให้มีพัฒนาการในทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วตลอดช่วง ๑๖ เดือนที่ผ่านมาภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้เป็นปกติโดยสมบูรณ์ รวมทั้ง หารือถึงแนวทางและกลไกในการยกระดับความร่วมมือไทย-ซาอุดี ในระยะต่อไป อาทิ การจัดตั้งสภาความร่วมมือซาอุดี? ไทย (Saudi-Thai Coordination Council: STCC) ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งแรกในโอกาสแรก แผนการขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Roadmap to Strengthen Bilateral Relations between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Saudi Arabia) รวมถึงกลไกสภาธุรกิจร่วมซาอุดี?ไทย (Saudi?Thai Joint Business Council: JBC) ที่ลงนามระหว่างสภาหอการค้าซาอุดีอาระเบียกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) อีกทั้งย้ำว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศหุ้นส่วนที่สำคัญของไทยในทุกด้าน และจะยังคงมีความสำคัญในลำดับต้นในนโยบายต่างประเทศของไทย
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และพัฒนาการทางการเมืองในระดับภูมิภาคและระดับโลก และประเด็นอื่น ๆ ที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ