เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ? ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนกาตาร์และอียิปต์ เพื่อผลักดันการให้ความช่วยเหลือและการเจรจาให้ปล่อยตัวคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันจากสถานการณ์สู้รบในอิสราเอล-กาซาโดยทันที
รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ รัฐมนตรีแห่งรัฐ รัฐกาตาร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเยือนกาตาร์ช่วงเดียวกัน และได้พบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ ที่กรุงไคโร โดยทุกฝ่ายแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอลและกาซา แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตและความเสียหายต่อทรัพย์สิน โดยเฉพาะพลเรือนที่บริสุทธิ์ ซึ่งรวมถึงแรงงานไทยด้วย นอกจากนี้ ทุกฝ่ายแสดงท่าทีสนับสนุนประชาคมโลกที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิง และการเจรจาที่จะนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
ในการหารือกับมิตรประเทศทั้งสามของไทยที่มีความสัมพันธ์และมีช่องทางสามารถเข้าถึงกลุ่มฮามาสได้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ขอรับการสนับสนุนในการหาแนวทางและผลักดันให้มีการปล่อยตัวคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันโดยเร็วที่สุด โดยทั้งสามประเทศเห็นว่า แรงงานไทยเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำงานในภาคการเกษตร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง อีกทั้งล้วนให้คำมั่นว่า ยินดีสนับสนุนและรับจะช่วยเจรจาปล่อยตัวประกันไทยอย่างเต็มความสามารถ รวมถึงพร้อมดำเนินการที่จำเป็นเพื่อดูแลช่วยเหลือตัวประกันอย่างเต็มที่ และเห็นว่า หากการหยุดยิงในโอกาสแรกก็จะทำให้ตัวประกันได้รับการปล่อยตัวเร็วขึ้น
กาตาร์มีบทบาทผู้ใกล่เกลี่ยสำคัญในภูมิภาคที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งฝ่ายอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เห็นว่า เมื่อมีการปล่อยตัวประกัน คนไทยน่าจะเป็นต่างชาติกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับการปล่อยตัว ในขณะที่อิหร่านมีความใกล้ชิดกับกลุ่มฮามาสและได้ช่วยเจรจาเรื่องการปล่อยตัวประกันให้ไทยแล้วตั้งแต่แรกได้รับคำร้องขอ รับที่จะหยิบยกเรื่องนี้กับกลุ่มฮามาสอย่างต่อเนื่อง สำหรับอียิปต์นั้น รับที่จะพิจารณาให้ฝ่ายไทยเข้าถึงจุดผ่านแดนราฟาห์ ในฐานะประเทศปลายทางที่ตัวประกันอาจได้รับการปล่อยตัวผ่าน
ทั้งนี้ มิตรประเทศทั้งสาม (กาตาร์ อิหร่าน อียิปต์) ได้รับที่จะส่งผ่านข้อเรียกร้องของไทยไปยังกลุ่มฮามาสทันที แต่โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าตัวประกันคนไทยถูกจับอยู่ที่ที่ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งหากเป็นพื้นที่ปลอดภัย ได้รับแจ้งว่า คนไทยจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับการปล่อยตัว
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ยังมีโอกาสได้หารือการขยายความร่วมมือทวิภาคีและการส่งเสริมความสัมพันธ์ในทุกมิติกับแต่ละประเทศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนมุมองกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับสถานการณ์และพัฒนาการในภูมิภาคด้วย
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ