เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๘.๑๗ ? ๑๙.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา เนื่องในโอกาสที่เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ได้เข้าร่วมการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ สรุปใจความได้ ดังนี้
๑.เป็นสิ่งที่ดีมากที่กระทรวงฯ ได้จัดการประชุมผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของประเทศ รัฐบาลและประชาชนชาวไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้โอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รายงานข้อมูลสถานการณ์ ข้อสังเกตของแต่ละคนให้เพื่อนร่วมงาน (colleague) เพื่อให้ได้ข้อยุติ ข้อตกลงใจร่วมกัน เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของประเทศชาติได้ดีขึ้นและทันท่วงที และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
๒. ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงและแบ่งเป็นหลายขั้ว ควรคำนึงถึงวัฒนธรรม ค่านิยม เอกลักษณ์ และผลประโยชน์ จุดยืนของไทย เพื่อรักษาพระราชไมตรีหรือป้องกันผลประโยชน์ของประชาชน
๓. นักการทูตต้องนำสถานการณ์ของประเทศไทยมาปรับใช้ให้ถูกต้อง ต้องรู้เรา คือ เข้าใจว่าประเทศของเราเป็นอย่างไรทั้งในปัจจุบันและภายหน้าเพื่อให้ประชาชนมีความสุข และรู้เขา คือ แต่ละประเทศ ภูมิภาค เป็นอย่างไร และจะทำอย่างไร เพื่ออยู่กับเขาได้ โดยรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ คุ้มครองปกป้องประชาชนที่อยู่ในต่างแดน ชื่อเสียง เกียรติยศและความจริงของประเทศไทย จึงต้องสนใจ ติดตาม และทำตัวเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ และรู้หน้าที่ของเรา งานการทูตไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจเขา ต้องเข้าใจเรา รู้จักตัวเราเอง รู้ว่านโยบายของประเทศ ของรัฐบาล ความต้องการและค่านิยมของประชาชน และไม่ลืมจุดยืนและนโยบายของประเทศ
ในโอกาสนี้ ทรงอวยพรให้คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่กลับไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสบายใจ มีความโชคดี มีความแจ่มใสในสติปัญญาและความคิดต่าง ๆ
ภายหลังพระราชทานพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณตอบข้อซักถาม โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ตามลำดับ ดังนี้
เอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชกระแสรับสั่งไปยังชุมชนไทยในต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส ฝากความรัก ความคิดถึงและความห่วงใยให้คนไทยในต่างประเทศ และทรงรู้สึกปลื้มใจที่ได้เห็นคนไทยรักษาความเป็นไทย ภูมิใจในชาติ และรักชาติ
เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา ได้กราบบังคมทูลถามถึงประสบการณ์ขณะที่เสด็จฯ ไปทรงศึกษาที่ออสเตรเลีย และในโอกาสที่ พลเอก David Hurley ผู้สำเร็จราชการเครือรัฐออสเตรเลีย และภริยา จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า ในสมัยที่ทรงศึกษาที่ออสเตรเลียเป็นเวลา ๗ ปี มีโอกาสได้รู้จักชีวิตของคนออสเตรเลีย ทั้งคนในเมือง ต่างจังหวัด และหลากหลายอาชีพ และได้รับการฝึกให้มีความอดทนอดกลั้น มีวินัย และมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ได้ความรู้ ได้เพื่อน และดีใจที่จะได้ต้อนรับพลเอก Hurley ซึ่งเป็นมิตรสมัยศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยที่ออสเตรเลีย โดยการเยือนถือเป็นเครื่องหมายของความเป็นมิตรของทั้งสองประเทศ
เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้กราบบังคมทูลถามความคาดหวังต่อเอกอัครราชทูตในโลกปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลง และขอพระราชทานคำแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า โลกเปลี่ยนแปลงตลอด เป็นหน้าที่ของเอกอัครราชทูตที่ต้องศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์ ขณะที่ตระหนักและรู้ในความต้องการของประเทศชาติ และมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากงานการทูตเป็นงาน dynamic ไม่ static เอกอัครราชทูตจึงต้องรู้ ต้องเป็นคนไทย ต้องทันสมัย รักษาความจริงใจ ด้วยจิตใจที่ดีและเป็นธรรม
เอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานแนวทางการปลูกฝังเรื่องความผูกพันของคนรุ่นใหม่กับประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า คนไทยควรมีความภูมิใจว่าเรามีเชื้อชาติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม ภาษา และศาสนา และทุกคนมีความคิดที่ดีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่านั้น คนรุ่นเก่าเคยเป็นคนรุ่นใหม่มาก่อน ทุกคนต้องเรียนรู้ ประสบการณ์ทำให้คนรุ่นใหม่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ขึ้น ความก้าวหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้ก้าวหน้าอย่างสร้างสรรค์ คนรุ่นใหม่ก็เหมือนพวกเราทุกคน ต้องได้มีประสบการณ์ ได้ความเข้าใจ ความรู้ และการเรียนรู้ต่าง ๆ
สามารถรับชมภาพการเข้าเฝ้าฯ ได้ที่ https://youtu.be/TWb6fcDGIIQ
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ