ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 5 ตุลาคม 2567 คณะผู้แทนกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
นำโดยนางสาววนาลี โล่ห์เพชร รองอธิบดีกรมเอเชียใต้ฯ เดินทางเยือนกรุงพริทอเรียและเมืองเคปทาวน์สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เพื่อพบหารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เพื่อติดตามประเด็นทวิภาคีที่คั่งค้างระหว่างกัน และเตรียมการการจัดประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย - แอฟริกาใต้ (SOM) ครั้งที่ 8 ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะพิจารณาให้มีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง และเร่งรัดการบรรลุความตกลงทวิภาคีที่คั่งค้าง โดยเฉพาะความตกลงด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ความร่วมมือด้าน ICT และความร่วมมือด้านการกลาโหม นอกจากนี้ ฝ่ายไทยขอรับการสนับสนุนจากฝ่ายแอฟริกาใต้สำหรับการเข้าเป็นสมาชิก BRICS ของประเทศไทย และการริเริ่มเจรจาเขตการค้าเสรีไทย - สหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (Southern African Customs Union : SACU) ในขณะที่ฝ่ายแอฟริกาใต้ต้องการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการดำเนินนโนบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและการประเมินเทคโนโลยีสุขภาพกับฝ่ายไทย
ที่กรุงพริทอเรีย คณะผู้แทนกรมเอเชียใต้ฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย พบหารือกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ Read Meat Industry Services เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าและความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรรายย่อยในอุตสาหกรรมเนื้อแดงและ Fruit South Africa เพื่อรับทราบนโยบายของแอฟริกาใต้และสถานะล่าสุดของการเปิดตลาดผลไม้ระหว่างกัน
จากนั้น คณะเดินทางเยือนเมืองเคปทาวน์ มลรัฐ Western Cape เพื่อพบหารือกับผู้บริหารหน่วยงานส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของมลรัฐ Western Cape (Wesgro) และรัฐบาลท้องถิ่นของมลรัฐ Western Cape เกี่ยวกับการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมทั้งความร่วมมือระหว่างท่าเรือเคปทาวน์กับท่าเรือแหลมฉบัง ตลอดจนการรื้อฟื้นการเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมชมฟาร์มผลไม้และศูนย์บรรจุผลไม้เพื่อการส่งออกของมลรัฐ Western Cape และพบหารือกับผู้ประกอบการและผู้ส่งออกผลไม้เพื่อผลักดันการส่งออกผลไม้ไทยไปยังแอฟริกาใต้ และเยี่ยมชมโรงงานผลิตยาของบริษัท Fine Chemicals Corporation เพื่อกระชับความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการวิจัยด้านวัคซีนระหว่างกัน
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ