ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พ.ศ. 2567

ข่าวต่างประเทศ Monday November 25, 2024 14:38 —กระทรวงการต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดการแถลงข่าวประกาศผลผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2567 ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะรองประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ เป็นผู้ประกาศผล และมีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา ประธานคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ นายแซม เบควิท ผู้อำนวยการด้านสุขภาพประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้แทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยและนายดิ๊ก คัสติน ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อมวลชนและวัฒนธรรม ในฐานะผู้แทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

ผลการตัดสินผู้ได้รับเลือกเป็นผู้รับพระราชทานรางวัลฯ ดังนี้

สาขาการแพทย์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ ดร. โทนี ฮันเตอร์ จากสหราชอาณาจักร / สหรัฐฯ สำหรับการค้นพบเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส และกระบวนการฟอสโฟรีเลชั่น นำไปสู่การพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งแบบมุ่งเป้า ทำให้เกิดการพัฒนายาที่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สาขาการสาธารณสุข ได้แก่ ศาสตราจารย์โจนาธาน พี. เชฟเพิร์ด จากสหราชอาณาจักร สำหรับการริเริ่มคาร์ดิฟฟ์โมเดลเพื่อป้องกันเหตุความรุนแรง ซึ่งเป็นเครื่องมือและนวัตกรรมทางสาธารณสุขสำหรับการลดเหตุความรุนแรงในชุมชน

ในโอกาสนี้ ผู้แทนเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรฯ และผู้แทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณและกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่พลเมืองของตนได้รับเลือกเป็นผู้รับพระราชทานรางวัลในปีนี้ ทั้งยังย้ำถึงความสัมพันธ์ทางสาธารณสุขที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ มีต่อประเทศไทย รวมถึงความมุ่งมั่นในการสานต่อความสัมพันธ์นี้ต่อไป

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลจัดตั้งขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในฐานะ ?องค์บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย? มอบให้แก่บุคคลหรือองค์กรทั่วโลกที่มีผลงาน ทั้งนี้ พิธีพระราชทานรางวัลฯ มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 2568 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ