กรุงเทพ--19 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
ตามที่กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการมรดกโลกขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2-10 กรกฎาคม 2551 นั้น
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการดำเนินการของฝ่ายไทย กรณีกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พลโทแดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองทัพไทย พลโทสุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ร่วมอยู่ด้วย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการทางการทูตอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยประสานงานร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในเรื่องแผนที่ที่แนบในการยื่นขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชาในเดือนมกราคม 2549 เนื่องจากแผนที่ดังกล่าวมีบางส่วนที่ล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิทับซ้อนทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ (พื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อมิให้การดำเนินการดังกล่าวของกัมพูชากระทบต่ออธิปไตยของไทย
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือเรื่องนี้กับ นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส โดยมีผู้แทนระดับสูงของยูเนสโกเข้าร่วมด้วย ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ดังนี้
1. ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกซึ่งเสนอโดยกัมพูชา
2. กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชาจะจัดทำแผนที่ฉบับใหม่แสดงขอบเขตปราสาทพระวิหารเพื่อใช้แทนแผนที่ฉบับเดิมที่กัมพูชาใช้ประกอบคำขอขึ้นทะเบียน
3. การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของแต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
4.ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมกันจัดทำแผนบริหารจัดการในพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนโดยสอดคล้องกับมาตรฐานการอนุรักษ์ระดับสากล เพื่อเสนอคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ด้วย
ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาได้บันทึกข้อตกลงไว้เป็นร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ซึ่งจะลงนามเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายแล้ว
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้รับแผนที่ฉบับใหม่จากฝ่ายกัมพูชาที่จะใช้แทนแผนที่เดิมที่ยื่นไว้เมื่อปี 2549 และได้ขอความร่วมมือกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจสอบข้อมูลใน ภูมิประเทศจริงเพื่อความถูกต้องชัดเจน และได้เจรจาให้ฝ่ายกัมพูชาปรับแก้แผนที่ดังกล่าวจนไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของขอบเขตของปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกล้ำพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน ซึ่งร่างแถลงการณ์ร่วมและแผนที่ฉบับใหม่นี้ได้รับความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 และจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 โดยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมกับนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อยืนยันข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายตามที่ตกลงกันไว้ในการหารือที่กรุงปารีสด้วย
การดำเนินการทั้งหมดของฝ่ายไทยสามารถบรรลุผลให้การขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชา จำกัดเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ตามคำวินิจฉัยของศาลโลก เมื่อปี 2505 (คณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505) โดยไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับซ้อน ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยสามารถสนับสนุนการขึ้นทะเบียนในลักษณะนี้ได้ และสามารถรักษาสิทธิทางเขตแดนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับซ้อนอีกต่อไป และไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของ แต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันในบริเวณดังกล่าวในอนาคต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-สส-
ตามที่กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการมรดกโลกขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2-10 กรกฎาคม 2551 นั้น
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการดำเนินการของฝ่ายไทย กรณีกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พลโทแดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผนที่ทหาร กองทัพไทย พลโทสุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ร่วมอยู่ด้วย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการทางการทูตอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยประสานงานร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในเรื่องแผนที่ที่แนบในการยื่นขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชาในเดือนมกราคม 2549 เนื่องจากแผนที่ดังกล่าวมีบางส่วนที่ล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิทับซ้อนทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ (พื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อมิให้การดำเนินการดังกล่าวของกัมพูชากระทบต่ออธิปไตยของไทย
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือเรื่องนี้กับ นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส โดยมีผู้แทนระดับสูงของยูเนสโกเข้าร่วมด้วย ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ดังนี้
1. ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกซึ่งเสนอโดยกัมพูชา
2. กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร โดยฝ่ายกัมพูชาจะจัดทำแผนที่ฉบับใหม่แสดงขอบเขตปราสาทพระวิหารเพื่อใช้แทนแผนที่ฉบับเดิมที่กัมพูชาใช้ประกอบคำขอขึ้นทะเบียน
3. การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของแต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
4.ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมกันจัดทำแผนบริหารจัดการในพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนโดยสอดคล้องกับมาตรฐานการอนุรักษ์ระดับสากล เพื่อเสนอคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ด้วย
ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาได้บันทึกข้อตกลงไว้เป็นร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ซึ่งจะลงนามเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายแล้ว
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 กระทรวงการต่างประเทศได้รับแผนที่ฉบับใหม่จากฝ่ายกัมพูชาที่จะใช้แทนแผนที่เดิมที่ยื่นไว้เมื่อปี 2549 และได้ขอความร่วมมือกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ตรวจสอบข้อมูลใน ภูมิประเทศจริงเพื่อความถูกต้องชัดเจน และได้เจรจาให้ฝ่ายกัมพูชาปรับแก้แผนที่ดังกล่าวจนไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของขอบเขตของปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกล้ำพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน ซึ่งร่างแถลงการณ์ร่วมและแผนที่ฉบับใหม่นี้ได้รับความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2551 และจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 โดยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมกับนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อยืนยันข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายตามที่ตกลงกันไว้ในการหารือที่กรุงปารีสด้วย
การดำเนินการทั้งหมดของฝ่ายไทยสามารถบรรลุผลให้การขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยกัมพูชา จำกัดเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ตามคำวินิจฉัยของศาลโลก เมื่อปี 2505 (คณะรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505) โดยไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับซ้อน ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยสามารถสนับสนุนการขึ้นทะเบียนในลักษณะนี้ได้ และสามารถรักษาสิทธิทางเขตแดนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับซ้อนอีกต่อไป และไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของ แต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมกันในบริเวณดังกล่าวในอนาคต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-สส-