เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 ณ โรงแรมสุขะอังกอร์ นครเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 รวมทั้งผลการเจรจาหารือในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งมีขึ้นก่อนการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ เมื่อวันที่ 10-12 พฤศจิกายน ด้วย สรุปสาระได้ ดังนี้
1. การเจรจาหารือเป็นไปด้วยดี ขอขอบคุณนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา รวมทั้งฝ่ายกัมพูชาอื่นๆ ในฐานะเจ้าภาพ ที่ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดียิ่ง และได้ทราบว่าบรรยากาศในการประชุม JBC ก็เป็นไปด้วยดีเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
2. ขอชื่นชมการทำงานของคณะเจ้าหน้าที่ใน JBC ทั้งสองฝ่ายที่ได้พยายามทำงานอย่างหนักและเข้มแข็ง โดยเฉพาะนายวศิน ธีรเวชญาน ประธาน JBC ฝ่ายไทยคนใหม่ ซึ่งแม้จะเพิ่งเข้ารับหน้าที่ก็ได้ปฏิบัติงานอย่างดีเยี่ยม และได้ให้ข้อมูลความเห็นและข้อพิจารณาที่เป็นประโยชน์อย่างมากในฐานะนักกฎหมาย
3. ในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้ ตนได้เรียนรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาว่า ฝ่ายไทยมีข้อผูกพันกับรัฐสภาของไทย ต้องยึดกรอบการเจรจาตามที่ได้รับความเห็นชอบมาจากรัฐสภาแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงออกไปจากกรอบดังกล่าวอย่างไร ฝ่ายไทยก็ไม่สามารถรับข้อตกลงที่เปลี่ยนแปลงนั้นได้ทันที
4. การเจรจาได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี ฝ่ายไทยและกัมพูชาสามารถเห็นพ้องกันได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 2 ประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากไม่ตรงกับกรอบการเจรจาที่ฝ่ายไทยต้องยึดถือตามที่ได้รับมาจากรัฐสภา คือ
- การเรียกชื่อปราสาทพระวิหารในเอกสารข้อตกลงชั่วคราวและเอกสารอื่นๆ ซึ่งฝ่ายไทยเรียกว่า พระวิหาร เขาพระวิหาร ปราสาทพระวิหาร (Phra Viharn) มาโดยตลอด ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเรียกว่า Preah Vihear และต้องการให้เรียกเช่นนั้นในเอกสารต่างๆ แต่เมื่อฝ่ายไทยได้รับกรอบการเจรจามาจากรัฐสภาไทยนั้นก็เรียกว่า พระวิหาร ตามแบบไทย เป็นกรอบที่กำหนดมาแล้ว จึงได้ขอร้องฝ่ายกัมพูชา ขอนำประเด็นนี้กลับมาเสนอต่อรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ทางฝ่ายกัมพูชาก็ได้เสนอทางเลือกที่จะประนีประนอมกันได้โดยไม่ต้องใช้คำทั้งสองมาด้วย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประมวลเสนอให้รัฐสภาไทยพิจารณาต่อไป
- ประเด็นรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับกำลังทหารในพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชาได้ขอเปลี่ยนแปลงบางจุด ดังนั้นจึงต้องนำกลับมาหารือกับรัฐสภาไทยก่อนที่จะไปเจรจากันต่อ นอกจาก 2 ประเด็นดังกล่าวที่ยังเห็นไม่ตรงกันแล้ว ประเด็นอื่นๆ สามารถเห็นพ้องกันได้เกือบทั้งหมด
5. ตนได้ขอรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาว่า จะรักษาการติดต่อสื่อสารอย่างใกล้ชิดโดยการโทรศัพท์สายตรง (hot-line) มาหารือด้วยบ่อยๆ
6. ในช่วงตอบคำถามสื่อมวลชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ขั้นตอนต่อไปในการเสนอรัฐสภาคือ กระทรวงการต่างประเทศจะประมวลผลการประชุมครั้งนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามีมติเสนอให้รัฐสภาพิจารณาในเรื่องที่ยังค้างอยู่ 2 ประเด็นนี้ต่อไป โดยจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดกรอบเวลาในการเดินหน้าทำงานขั้นต่อไปไว้แล้ว อะไรที่สามารถดำเนินการไปก่อนได้โดยไม่ต้องการอนุมัติรัฐสภา ก็จะทำไปก่อนเลย เช่น การแก้ปัญหาทุ่นระเบิดหรือการสำรวจหาหลักเขตเก่าในพื้นที่
7. ต่อคำถามเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานที่จะใช้ในงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะในบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้อ้างแผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศและอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายชี้แจงว่า ฝ่ายไทยยึดถือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1904 และ 1907 เป็นหลัก รวมทั้งจะพิจารณาเอกสารประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย แผนที่ที่กัมพูชาอ้างนั้น เป็นเพียงหลักฐานชิ้นหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาร่วมกับเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และต้องพิจารณาประกอบกับสนธิสัญญา ทั้งนี้ ในการประชุม JBC ครั้งนี้ก็ได้ตกลงกันที่จะตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาประเด็นด้านกฎหมาย ซึ่งฝ่ายไทยมีความพร้อมที่จะหารือกันในด้านนี้ โดยคณะทำงานดังกล่าวจะประชุมกันในเดือนมกราคม 2552
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--