เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งแก่ยูเนสโกว่า ตามที่ คณะกรรมการมรดกโลกได้ลงมติในสมัยประชุมที่ 32 ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกับ ขอให้กัมพูชาจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee-ICC) เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทฯ นั้น เนื่องจากข้อมติฯ กำหนดให้ทรัพย์สินที่ขึ้น ทะเบียนคือตัวปราสาทฯ เท่านั้น ไม่รวมถึงพื้นที่กว้างที่สูงยื่นออกไป (wider promontory) กับหน้าผาและ ถ้ำ บทบาทของยูเนสโกและ ICC จึงถูกจำกัดด้วยขอบเขตทางภูมิศาสตร์ไว้เพียงเท่านั้น ดังนั้น กิจกรรมใด ที่ยูเนสโก ICC หรือฝ่ายอื่นที่จะทำในพื้นที่ติดกับปราสาทฯ นอกขอบเขตที่ได้ขึ้นทะเบียนจะต้องได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการล่วงหน้าจากรัฐบาลไทย นอกจากนั้น การเดินทางเข้าสู่ปราสาทซึ่งจะต้องผ่าน ดินแดนหรือน่านฟ้าของไทยก็จะต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากรัฐบาลไทยด้วยเช่นเดียวกัน
ในวันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งข้อความดังกล่าวให้สำนักงานยูเนสโกใน ประเทศไทยและกัมพูชาทราบด้วยแล้ว
การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 2 ธันวาคม 2551 เกี่ยวกับแนวทางดำเนินการกรณียูเนสโกตรวจสอบปราสาทพระวิหาร
อนึ่ง มีรายงานข่าวว่าสำนักงานยูเนสโกในกัมพูชาจะนำคณะผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมา ตรวจสอบปราสาทพระวิหารในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน 2552 ขณะนี้ทางการไทยก็ พร้อมที่จะดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น และตามกฎหมายทุกประการ เพื่อไม่ให้มีการ ละเมิดอธิปไตยของไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--