เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เวลา 09.00-09.25 น. อิหม่ามสนิท เอี่ยมฤทธิ์ นายกสมาคมกอรีแห่งประเทศไทยในความอุปถัมภ์ของจุฬาราชมนตรี นำคณะนักกอรีทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่สมาคมกอรีฯ เข้าเยี่ยมคารวะนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแสดงความขอบคุณที่กระทรวงการต่างประเทศได้ให้การสนับสนุนสมาคมกอรีฯ ในการส่งตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันทดสอบอ่านและท่องจำพระคัมภีร์อัลกุรอานในต่างประเทศ มาอย่างต่อเนื่องและเพื่ออำลาก่อนที่คณะนักกอรีทีมชาติไทยจะเดินทางไปเข้าร่วม “การแข่งขันอ่านคัมภีร์อัลกุรอานระหว่างประเทศ ครั้งที่ 51 (The 51st International Al-Quran Reciters Assembly)” ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 5-12 สิงหาคม 2552 ที่ประเทศมาเลเซีย โดยในปีนี้ นางฟาตีเมาะห์ หะระตี กอรีอะห์ (นักอ่านคัมภีร์หญิง) ชาวจังหวัดยะลา อดีตตัวแทนทีมชาติไทย ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันรายการเดียวกันนี้ในปี 2537 และ 2551 จะเดินทางร่วมกับคณะในฐานะครูผู้ฝึกสอน กับนายสมาน ก้อพิทักษ์ เลขาธิการสมาคมกอรีฯ ซึ่งจะเดินทางร่วมกับคณะในฐานะเจ้าหน้าที่สมาคมฯ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ร่วมเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย
การแข่งขันอ่านคัมภีร์อัลกุรอานระหว่างประเทศ (The International Al-Quran Reciters Assembly) ถือเป็นการแข่งประกวดอ่านคัมภีร์อัลกุรอานระดับนานาชาติที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในโลกมุสลิม ได้จัดติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชไม่นาน โดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียทุกพระองค์ที่ผ่านมา ได้ทรงรับการแข่งขันดังกล่าวไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์และเสด็จฯ เป็นองค์ประธานเปิดงานทุกครั้ง ประเทศไทยในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้าน ก็ได้ส่งนักกอรีทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าวอย่างต่อเนื่องทุกปี นักกอรีไทยจากสมาคมกอรีแห่งประเทศไทย ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย โดยได้รับพระราชทานรางวัลชนะเลิศและรางวัลอื่นๆ จากสมเด็จพระราชาธิบดีมาเลเซียมาแล้วถึง 8 ครั้ง ทำให้ความสามารถของนักกอรีไทยมุสลิมเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในโลกมุสลิม ดังจะเห็นได้ว่า นอกจากการเชิญนักกอรีทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขันทุกปีแล้ว ผู้จัดงานฝ่ายมาเลเซียยังได้เชิญให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชาวไทยมุสลิมเข้าร่วมการตัดสินทุกปีด้วย โดยในปีนี้ นายสุรินทร์ ดาราฉาย ได้รับเชิญเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิร่วมตัดสินในการแข่งขัน
นักกอรีทีมชาติไทยที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ ได้แก่ นายมูฮำหมัด มะหะหมัด นักกอรี (นักอ่านคัมภีร์ชาย) จากจังหวัดปทุมธานี และนางสาวนาตีปะ มะยาซีนะ กอรีอะห์ (นักอ่านคัมภีร์หญิง) จากจังหวัดปัตตานี ซึ่งได้รับคัดเลือกจากการทดสอบแข่งขันระดับประเทศ ถือได้ว่ามีความพร้อมอย่างยิ่ง ด้วยการฝึกสอนของนางฟาตีเมาะห์ฯ อดีตแชมป์ 2 สมัย ซึ่งได้ผันตัวมาเป็นเทรนเนอร์อย่างเต็มตัว ทำให้นักกอรีทีมชาติไทยมีความมั่นใจและความหวังในการคว้ารางวัลไปปีนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ในปีที่แล้ว คณะสมาคมกอรีฯ และทีมนักกอรีตัวแทนประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ก่อนเข้าร่วมการแข่งขันใน ปี 2551 ซึ่งนางฟาตีเมาะห์ฯ คว้ารางวัลชนะเลิศในรายการดังกล่าวและได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ประไหมสุหรี อากง (พระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย) มาแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาเห็นว่า สมาคมกอรีแห่งประเทศไทยฯ นักกอรี (นักอ่านคัมภีร์) ไทย และฮาฟิซ (นักท่องจำคัมภีร์) ไทย ได้ไปสร้างชื่อเสียงแก่ประเทศชาติในต่างแดน ทำให้ประชาคมโลกมุสลิมได้ทราบถึงมาตรฐานคุณวุฒิทางวิชาการของวงการกอรีไทย ตลอดจนได้ทราบถึงสภาพสังคมไทยที่มีเสรีภาพและเปิดกว้างในการนับถือศาสนา กระทรวงการต่างประเทศโดยกรมสารนิเทศ จึงได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมฯ อย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งได้สั่งการให้สถานทูตสถานกงสุลไทยในประเทศที่เกี่ยวข้องพิจารณาอำนวยความสะดวกและไปให้กำลังใจแก่นักกอรีและฮาฟิซตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันครั้งต่างๆ ด้วย
ในระหว่างการเยี่ยมคารวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นในหลักการเคารพเสรีภาพทางศาสนาและสิทธิอันเท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ของชาวไทยทุกเชื้อชาติศาสนา ที่ผ่านมาในอดีต ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยพุทธ และศาสนาอื่นๆ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขบนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ได้ทราบว่าในประวัติศาสตร์โลกมุสลิมเอง เช่นในราชสำนักของคอลิฟะห์ (กาหลิบ) หลายท่าน ชาวมุสลิมและชนต่างศาสนาก็ร่วมรับราชการและทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ และผู้ปกครองมุสลิมก็ได้แสดงความใจกว้างเปิดโอกาสให้ผู้นับถือศาสนาต่างๆ ภายใต้ปกครอง ปฏิบัติศาสนกิจได้โดยเสรีเช่นกัน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ยกประเด็นเรื่องการศึกษาอันเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างโอกาสแก่เยาวชน รวมทั้งเยาวชนไทยมุสลิม และแจ้งว่า กระทรวงการต่างประเทศยินดีที่จะช่วยสนับสนุนนักศึกษาไทยมุสลิมที่ไปศึกษาในต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนามาตรฐานความรู้ภาษาอาหรับก่อนเดินทางไปศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้เป็นพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้วิชาการต่างๆ ทั้งทางศาสนาและทางโลกต่อไป และตนจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งในกระทรวงการต่างประเทศ ศอ.บต. สถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดระบบการดูแลนักศึกษาไทยมุสลิมที่จะไปศึกษาในต่างประเทศ รวมทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอาหรับนี้ด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้อวยพรและให้กำลังใจนักกอรีทีมชาติไทยให้แสดงความสามารถอย่างเต็มภาคภูมิ และยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศพร้อมที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมของสมาคมกอรีแห่งประเทศไทยเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--