Macro Morning Focus ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2553
Summary:
1. มูลค่าส่งออกไทย เดือน ก.ย.53 ขยายตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์การส่งออกของไทย
2. กนง.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75%.
3. ธนาคารกลางจีนประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
Highlight:
1. มูลค่าส่งออกไทย เดือน ก.ย.53 ขยายตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์การส่งออกของไทย
- นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่ายอดการส่งออกเดือน ก.ย.53 มีมูลค่า 18.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายตัวร้อยละ 21.2 ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์การส่งออกของไทย ทำให้ยอดการส่งออกรวม 9 เดือนของปี 53 อยู่ที่ 143.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 ต่อปี ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 14.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 16.3 ต่อปี ส่งผลให้ไทยมียอดดุลการค้าเกินดุลสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- สศค. วิเคราะห์ว่า มูลค่าการส่งออกไทยในปี 53 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 25.0 ต่อปี จากปัจจัยสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าไทย แม้ว่าไทยจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับมูลค่าการส่งออกไทยในปี 54 สศค. คาดว่าจะสามารถขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 12 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 11.0-13.0) ทั้งนี้ การส่งออกที่ขยายตัวได้ดีจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 7.5 และ 4.5 ต่อปี ในปี 53 และ 54 ตามลำดับ (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 4.0-5.0) (คาดการณ์ ณ เดือน ก.ย.53)
2. กนง.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.75
- ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อนที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความเปราะบาง จากการบริโภคที่ฟื้นตัวช้า และปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ความเสี่ยงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนความเสี่ยงจากระบบเศรษฐกิจและตลาดเงินอาจมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทย ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อในปัจจุบันยังทรงตัว
- สศค. วิเคราะห์ว่า การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยครั้งนี้เพื่อรอประเมินสถานการณ์ จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่แม้ว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ ธปท. คาดว่าจะชะลอตัวตัวลงในช่วงต่อไป โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นที่มีความเปราะบาง จากการบริโภคที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ตลอดจนเศรษฐกิจยุโรปยังคงมีความเสี่ยงจากการปรับลดการขาดดุลการคลังในปีหน้า ซึ่งทำให้ กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้มีความชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจมีส่วนช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนที่ทำให้ค่าเงินแข็งค่าได้ในระดับหนึ่ง
3. ธนาคารกลางจีนประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าธนาคารกลางจีนได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากเดิมที่อัตราร้อยละ 5.31 มาสู่ระดับ 5.56 ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้ปรับสูงขึ้นมาสู่ระดับร้อยละ 2.5 จากเดิมที่ระดับร้อยละ 2.25 ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนและควบคุมปริมาณสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์
- สศค. วิเคราะห์ว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2550 ถือเป็นหนึ่งในมาตรการของทางการจีนเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับสูงกว่าร้อยละ 10 (ไตรมาส 2 ขยายตัวที่ร้อยละ 10.3) และเป็นการเพื่อควบคุมความเสี่ยงในการเกิดฟองสบู่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ใน 70 เมืองใหญ่ในจีนล่าสุด ณ เดือน ก.ย. 53 ได้ปรับตัวสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 9.1 ดังนั้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของปริมาณสินเชื่อโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อปริมาณเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศไหลมาสู่จีนเพิ่มสูงขึ้น
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:
Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th