มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 3, 2010 08:51 —กระทรวงการคลัง

วันนี้ (1 พฤศจิกายน 2553) ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจได้มีมติเห็นชอบมาตรการของกระทรวงการคลังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2553 เพิ่มเติมจากมาตรการฯ ที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา โดยประกอบด้วยมาตรการด้านการเงินและการคลัง ดังนี้

1. มาตรการด้านการเงิน

1.1 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

1.1.1 มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต โดย ธ.ก.ส. ผ่อนผันเงื่อนไข ดังนี้

(1) อัตราดอกเบี้ย

  • ปีที่ 1 - 3 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR-2 โดยใน 3 เดือนแรกของปีแรกคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0
  • ปีที่ 4 - 5 คิดอัตรา MRR-1
  • ตั้งแต่ปีที่ 6 ขึ้นไป คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR

(2) ลดหย่อนหลักเกณฑ์การกู้เงินโดยใช้ที่ดินจำนอง หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นหลักประกันให้ลูกค้าได้ไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาประเมินที่ดิน หรือราคาประเมินที่ดินและราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างรวมกัน

1.1.2 มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูจากปัญหาอุทกภัย เพื่อเป็นการช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถปรับปรุงพัฒนาและซ่อมแซมแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัย ธ.ก.ส. จึงได้ผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ โดยคิดดอกเบี้ยที่อัตรา MLR-2.25

1.2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยภายหลังที่สถานการณ์น้ำท่วมได้ลดระดับลงแล้ว

1.2.1 ลูกหนี้เดิม

(1) กรณีที่หลักประกันได้รับความเสียหาย

ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามประกาศธนาคาร และให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 1 ปี

(2) กรณีที่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้

ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามประกาศธนาคาร

(3) กรณีเสียชีวิต / ทุพพลภาพถาวร

ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.01 ตลอดระยะเวลากู้ที่เหลืออยู่

(4) กรณีอาคารเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ภาระหนี้ตามยอดหนี้คงเหลือในส่วนของอาคาร

1.2.2 กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิม / ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย

กรณีอาคารได้รับความเสียหาย : อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา

5 ปี หลังจากนั้นกรณีรายย่อย MRR -0.5 ต่อปี กรณีสวัสดิการ MRR-1.00 ต่อปี

1.3 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)

ธพว. ได้จัดทำโครงการ สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในปี 2553

1.3.1 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย : ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปี 2553

1.3.2 วงเงิน : 5,000 ล้านบาท

1.3.3 ระยะเวลาโครงการ : สิ้นสุดวันรับคำขอกู้ 30 เมษายน 2554

1.3.4 คุณสมบัติผู้กู้ : - ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นบุคคลธรรมดา (ไม่จำกัดอายุ) หรือนิติบุคคล ที่มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และ

  • มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย

วาตภัย และโคลนถล่มในปี 2553 ตามประกาศของทางราชการ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยฯ

  • ไม่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์

ขายทอดตลาดทรัพย์ ล้มละลาย ยกเว้นคดีลหุโทษ

1.3.5 วัตถุประสงค์การกู้ : เพื่อใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูกิจการ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

1.3.6 วงเงินสินเชื่อต่อราย : วงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท ตามความจำเป็นของกิจการ

1.3.7 ประเภทสินเชื่อ : เงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term Loan) ระยะเวลากู้ยืมสูงสุด

ไม่เกิน 6 ปี ระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) 2 ปี

1.3.8 อัตราดอกเบี้ย : - ให้คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ตลอดอายุสัญญากู้

  • เรียกเก็บดอกเบี้ยจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในอัตราคงที่ร้อยละ 2 ต่อปีตลอดอายุสัญญา ซึ่ง ธพว. จะได้หารือ สสว. ต่อไป

1.3.9 ค่าธรรมเนียม : - ยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ

  • ยกเว้นค่าธรรมเนียมจัดทำสัญญาเงินกู้
  • ยกเว้นค่าธรรมเนียมชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด

(Prepayment Fee)

1.3.10 หลักประกัน : ไม่มีหลักประกัน (Clear Loan)

1.3.11 เงื่อนไขอื่น : - กรณีเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกัน หรือกิจการที่มีผลประโยชน์ เกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นกิจการที่เข้าหลักเกณฑ์ของโครงการ แยกการดำเนินธุรกิจ และ/หรือ สถานประกอบการได้อย่างชัดเจน อนุโลมให้สามารถเข้าโครงการได้ โดยสามารถกู้สูงสุดกิจการละไม่เกินวงเงินสูงสุดตามหลักเกณฑ์ของโครงการได้

  • ยกเว้นการตรวจสอบประวัติทางการเงิน (Credit Bureau)

และไม่ต้องตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องของผู้กู้

  • การเบิกจ่ายเงินกู้ให้เบิกจ่ายครั้งเดียวทั้งจำนวนที่ได้รับการอนุมัติ

1.4 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)

1.4.1 เพิ่มประเภทสินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อวงเงินเบิกถอนเงินสดและสินเชื่อวงเงินทุนระยะยาว

1.4.2 พิจารณาให้วงเงินสินเชื่อตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง หรือตามความจำเป็น

โดยไม่จำกัดวงเงิน

1.4.3 กรณีลูกค้าเก่าขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อ หรือ ลูกค้าใหม่ ขอวงเงินสินเชื่อ

  • ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
  • ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 7 ปี สำหรับสินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อวงเงินทุนระยะยาว
  • ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 30 ปี สำหรับสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และ

สถานประกอบการ

  • หลักประกันเป็นหลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกันโดยให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100% ของราคาประเมินหลักประกัน
  • อัตรากำไรแยกตามประเภทสินเชื่อ ประเภทลูกค้าเก่า/ใหม่และผลกระทบที่ได้รับทางตรง/อ้อม ได้แก่

(1) สินเชื่อเพื่อก่อสร้าง ซ่อมแซม/ต่อเติม ที่อยู่อาศัย และ/หรือ สถานประกอบธุรกิจ เดือนที่ 1-3 เริ่มต้นที่ 1.0% ถึง 2.75% เดือนที่ 4-24 เริ่มต้นที่ SPRL - 2.50% ถึง SPRL - 1.50% ปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRL -1.50% ถึง SPRL - 0.50%

(2) สินเชื่อวงเงินทุนระยะยาว

ปีที่ 1 เริ่มต้นที่ SPRL — 1.75% ถึง SPRL - 0.25%

ปีที่ 2 เริ่มต้นที่ SPRL - 1.25% ถึง SPRL

ปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRL

(3) สินเชื่อวงเงินทุนหมุนเวียน และวงเงินเบิกถอนเงินสด

ปีที่ 1 เริ่มต้นที่ SPRR - 1.75% ถึง SPRR - 0.25%

ปีถัดไปให้พิจารณาตามความเหมาะสม

(4) สินเชื่อวงเงินอเนกประสงค์

เดือนที่ 1-3 เริ่มต้นที่ 0.75% ถึง 2.00%

เดือนที่ 4-24 เริ่มต้นที่ SPRR + 6.25%

ปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRR + 7.25%

ทั้งนี้ อัตรากำไรข้างต้นเป็นไปตามประกาศของธนาคารในโครงการ

“ibank ร่วมใจ...สู้ภัยน้ำท่วม”

1.5 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธสน. จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่ประสบความเสียหายจากภัยน้ำท่วม โดย ธสน. จะพิจารณาเป็นรายกรณี อาทิ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือพิจารณาให้สินเชื่อหมุนเวียนเพิ่มเติม

1.6 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

1.6.1 มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับลูกค้า บสย. ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ถึง 30 กันยายน 2554

1.6.2 มาตรการให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกค้าได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ในการผ่อนปรนเรื่องการพักชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปตามปกติ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เป็นลูกหนี้ NPL หรือเป็นลูกหนี้ปกติที่ไม่มีหลักประกัน และขอสินเชื่อเพิ่มผ่านสถาบันการเงิน ยังสามารถขอรับการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 ได้

โดย บสย. คิดค่าธรรมเนียมในปีแรกเพียงร้อยละ 0.75 ต่อปี และปีต่อไปคิดค่าธรรมเนียมในอัตราปกติ

ร้อยละ 1.75 ต่อปี ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553

1.7 บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.)

พิจารณาพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับลดเงินงวด หรือขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ออกไปรวมไม่เกิน 30 ปี และในกรณีที่ลูกค้ามีความประสงค์จะขอกู้เพิ่มเพื่อนำไปซ่อมแซมบ้านที่ได้รับความเสียหาย บตท. จะเป็นผู้ประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อให้กู้เพิ่มต่อไป

1.8 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. กรุงไทย)

ธนาคารมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ 7 มาตรการ ดังนี้ (เป็นมาตรการที่เพิ่มเติม

ในรายละเอียดจากมาตรการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553)

1.8.1 เงินกู้กรุงไทยสู้อุทกภัย ให้วงเงินกู้ประจำ (T/L)

วงเงินสูงสุด : ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง

อัตราดอกเบี้ย : ปีที่ 1 ร้อยละ MLR-1 ปีที่ 2 เป็นต้นไป ร้อยละ MLR ต่อปี

ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด : 5 ปี

หลักประกัน : ใช้หลักประกันเดิม

1.8.2 เงินทุนหมุนเวียนกรุงไทยสู้อุทกภัย สำหรับเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม

1.8.3 โครงการกรุงไทยสู้อุทกภัย สำหรับลูกค้าที่ต้องการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยมีทางเลือก ดังนี้

?- ผ่อนชำระเงินต้นน้อย และชำระดอกเบี้ยตามเงื่อนไข

?- พักชำระเงินต้น (Grace Period) นาน 6 เดือน และชำระดอกเบี้ยตามเงื่อนไข

  • พักชำระเงินต้น (Grace Period) นาน 6 เดือน และชำระดอกเบี้ยบางส่วน

1.8.4 สินเชื่อที่อยู่อาศัยกรุงไทยสู้อุทกภัย สำหรับลูกค้าที่ผ่อนชำระสินเชื่อกับธนาคารอยู่แล้ว และได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ธนาคารจะมอบวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมตามจำนวนเงินที่ได้ผ่อนชำระ

อัตราดอกเบี้ย : ปีที่ 1 ร้อยละ MRR-1.75 ปีที่ 2 เป็นต้นไป ร้อยละ MRR-0.5 ต่อปี

ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด : 60 งวด

1.8.5 ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

?- บัญชีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกบัญชี

  • บัญชีที่ประสงค์จะโอนเงินเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย

1.8.6 กรุงไทยจับคู่ธุรกิจสู้อุทกภัย โดยจัด Business Matching ระหว่างผู้ประกอบการ

ที่ได้รับความเสียหาย กับผู้ประกอบการที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ และผู้รับเหมา เพื่อได้วัสดุที่ใช้เพื่อซ่อมแซมกิจการในราคาพิเศษ

1.8.7 สินเชื่อเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เพื่อฟื้นฟูหลังอุทกภัย) ให้สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

อัตราดอกเบี้ย ?: โอนสิทธิเงินฝาก : ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ใช้เป็นหลักประกัน + ร้อยละ 1 ต่อปี

หลักประกันอื่น/ไม่มีหลักประกัน : อัตราดอกเบี้ยเงินฝากบุคคลธรรมดาประเภท 6 เดือน + ร้อยละ 1.75 ต่อปี

ระยะเวลาสูงสุด : 20 ปี และตามความสามารถในการชำระหนี้แต่ละราย

โดยผู้ประกอบการต้องแสดงความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือ ภายในวันที่

31 ธันวาคม 2553

อนึ่ง สมาคมธนาคารไทยได้แจ้งว่าสมาคมธนาคารไทยจะยกเว้นค่าธรรมเนียม

การโอนเงินข้ามเขตไปยังพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยดำเนินการตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2553 จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

2. มาตรการด้านภาษี

2.1 การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย (สำหรับการบริจาคให้ผู้ประสบอุทกภัยระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553)

2.1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

หักลดหย่อนเงินที่ได้บริจาคให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (เป็นตัวแทนรับบริจาคให้กับผู้ประสบภัย) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

2.1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำเงินหรือทรัพย์สินไปบริจาคผ่านบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (เป็นตัวแทนรับบริจาคให้กับผู้ประสบภัย) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หักเป็นรายจ่ายได้ตามที่ได้จ่ายจริง โดยไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิในปีที่มีการบริจาคนั้น

2.1.3 ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ผู้ประกอบการจดทะเบียนทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่นำทรัพย์สินหรือสินค้าไปบริจาคผ่านบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (เป็นตัวแทนรับบริจาคให้กับผู้ประสบภัย) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ให้ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่ให้ถือเป็นการขาย

          2.2  การช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง (สำหรับผู้ประสบอุทกภัยระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553)                                                                                                                 2.2.1  ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(1) ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) (6) (7) และ (8) สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยที่ได้ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ เท่าจำนวนความเสียหายโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี

(2) ให้บุคคลธรรมดาผู้ประสบอุทกภัยซึ่งเป็นผู้รับบริจาค ช่วยเหลือหรือชดเชยที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับการบริจาค ช่วยเหลือหรือชดเชยนั้น

(3) ให้บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐได้รับยกเว้นภาษีเงินได้

2.2.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้ประสบอุทกภัยซึ่งเป็นผู้รับบริจาคให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับการบริจาคนั้น

(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้

(3) ยกเว้นภาษีให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหาย เฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรือและค่าเสื่อมราคาแล้ว

2.3 การขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ที่จะต้องยื่นแบบในเดือนกันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม โดยให้นำไปยื่นภายใน 30 ธันวาคม 2553 ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

3. ความช่วยเหลือของกรมบัญชีกลาง

3.1 โดยที่สถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ ยังมีความต่อเนื่องและอาจต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยโดยใช้จ่ายจากเงินทดรองราชการ ดังนั้น เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย กระทรวงการคลังจึงได้อนุมัติให้จังหวัดที่เกิดอุทกภัยในครั้งนี้ ทุกจังหวัดและส่วนราชการที่มีวงเงินทดรองราชการปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2551ได้ ทั้งนี้ นับแต่วันที่ได้มีการประกาศภัยพิบัติ เนื่องจากจังหวัดและส่วนราชการที่ใช้จ่ายเงินทดรองราชการต้องรวบรวมเอกสารหลักฐาน เพื่อขอรับจัดสรรเงินงบประมาณจากสำนักงบประมาน เพื่อชดใช้คืนเงินทดรองราชการในภายหลัง ดังนั้น จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินทดรองราชการดังกล่าว ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยด้วย

3.2 กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1377/2553 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2553

แต่งตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของกระทรวงการคลังขึ้น โดยมีอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินของรัฐ เป็นกรรมการ มีอำนาจหน้าที่จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนในจังหวัดที่เกิดอุทกภัยขึ้น ณ สำนักงานคลังจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้แล้ว ในการดำเนินมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินเของรัฐตามที่กล่าวข้างต้น กระทรวงมหาดไทยมีการให้เงินช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท โดยจะให้ดำเนินการผ่านธนาคารออมสิน

สำนักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

โทร. 02 273 9020 ต่อ 3243

--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 124/2553 1 พฤศจิกายน 53--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ