รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 5, 2010 11:21 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553

Summary:

1. BOI เผยว่ายอดยื่นเรื่องขอลงทุนในภาคเหนือช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 เพิ่มขึ้นกว่าปี 52

2. ปตท. ประกาศตรึงราคาน้ำมันเพื่อช่วยผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม

3. Fed ทำ QE เป็นจำนวนทั้งสิ้น 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

Highlight:
1. BOI เผยว่ายอดยื่นเรื่องขอลงทุนในภาคเหนือช่วง 9 เดือนแรกของปี 53 เพิ่มขึ้นกว่าปี 52
  • BOI เปิดเผยว่าแนวโน้มการลงทุนในภาคเหนือไตรมาสสุดท้ายของปี 53 มีทิศทางที่ดีและคาดว่าทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วง 9 เดือนแรกของปี และช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะยังมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติยื่นเรื่องขอรับการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากสถิติปีก่อนนักลงทุนส่วนใหญ่มักยื่นเรื่องขอรับการส่งเสริมมากในช่วงไตรมาสสุดท้าย ส่วนภาวะการลงทุนภาคเหนือ 9 เดือนแรกของปี โครงการที่ขอรับการส่งเสริมใน 17 จังหวัดภาคเหนือ มีจำนวน 79 โครงการ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.9 ต่อปี ที่มีจำนวน 59 โครงการ ส่วนมูลค่าการลงทุนรวม 38,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 14,636 ล้านบาท
  • สศค. วิเคราะห์ว่าแนวโน้มจำนวนการยื่นเรื่องขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ดีขึ้นดังกล่าว บ่งชี้ทิศทางการลงทุนที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับเครื่องชี้การลงทุนที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยในเดือน ก.ย. 53 ยอดขายรถยนต็เชิงพาณิชย์และ ขยายตัวที่ต่อเนื่องที่ร้อยละ 35.4 ต่อปี ด้านปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 4.9 ต่อปี ทั้งนี้ สศค. คาดว่า ในปี 2553 และ ปี 2554 การลงทุนของไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 16.5 ต่อปี ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 16.3—16.8 ต่อปี) และร้อยละ 5.9 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 4.9—6.9 ต่อปี) ตามลำดับ
2. ปตท. ประกาศตรึงราคาน้ำมันเพื่อช่วยผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม
  • ปตท. กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ซึ่งไทยใช้อ้างอิงได้ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้ค่าการตลาดขายปลีกของไทยปรับลดลง แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ปตท.จึงพยายามตรึงราคาให้นานที่สุด ส่วนการจัดส่งน้ำมันและแอลพีจีนั้น ได้พยายามเร่งจัดส่งให้เพียงพอ โดยผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้มีอุปสรรคในการขนส่ง ขณะที่สถานีบริการหลายแห่งไม่สามารถให้บริการได้ ซึ่งปตท.จะเร่งขนส่งน้ำมันและแอลพีจีโดยเร็วที่สุด ส่วนยอดการขายน้ำมันของประเทศลดลง โดยในส่วนของ ปตท.ลดลง 7% หรือ 1.35 ล้านลิตรต่อวัน จากเดิมมียอดขายเฉลี่ย 17 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน
  • สศค. วิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดดูไบ ณ วันที่ 4 พ.ย. 53 อยู่ที่ 82.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในเดือน พ.ย.53 แข็งค่าขึ้นมาจากต้นเดือนร้อยละ 0.9 ทำให้ลดแรงกดดันที่จะปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ทั้งนี้ สศค. คาดว่าในปี 53 ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะยังคงอยู่ในกรอบที่คาดไว้ที่ 74 -79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่ามิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 53 จะยังขยายตัวได้ตามที่ประมาณการไว้ที่ร้อยละ 7.3 -7.8 ต่อปี (คาดการณ์ ณ เดือนก.ย. 53)
3. Fed ทำ QE เป็นจำนวนทั้งสิ้น 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • Fed ได้ทำมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร (Quantitative Easing) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐและเพิ่มการจ้างงานผ่านการรับซื้อพันธนบัตรรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2-10 ปี โดยมาตรการดังกล่าวจะดำเนินไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 54 ทั้งนี้ Fed ได้มีการทำมาตรการ QE ครั้งแรกในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและ Mortgage-backed securities เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • สศค. วิเคราะห์ว่ามาตราการ QE2 น่าที่จะมีผลต่อภาคการเงินแต่ไม่น่าจะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเพียงการ Finance การขาดดุลการคลัง ซึ่งมีผลหากทางรัฐบาลได้นำเงินดังกล่าวไปดำเนินโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรืออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงกระตุ้นให้ภาคครัวเรือนหรือภาคธุรกิจกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยเนื่องจากสถาบันการเงินมีความกังวลด้าน NPL ดังนั้นสิ่งที่ควรจับตามองต่อไปคือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง (Fiscal Stimulus) ของรัฐบาลสหรัฐฯ

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:

Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ